เวลาออกเดทกับใคร เคยสงสัยมั้ยคะว่า ผู้ชาย? เขาคิด อย่างไรเกี่ยวกับตัวเราบ้างนะ และนี่เป็นอีก 10 อย่างที่ผู้ชายมักมองเห็น และใช้ประเมินตัวตนที่แม้ของหญิงคนนั้นภายใน 10 วินาทีแรกที่เจอกัน

1. ความมั่นใจ
ผู้ชายส่วนใหญ่มักมองหาความมั่นใจในตัวผู้หญิงเป็นอันดับแรก ซึ่งสังเกตได้จากการทักทาย น้ำเสียง และการสบตา หากคุณสามารถพูดคุยได้อย่างเป็นธรรมชาติก็ถือว่าชนะใจเขาไปเกือบครึ่งแล้วละค่ะ

2. ความเพอร์เฟ็กต์
ผู้หญิงที่ดูดีไปซะทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า หรือแม้แต่กระทั่งเล็บเท้าที่ถูกแต่งแต้มมาอย่างกิ๊บเก๋ มีสไตล์ มักทำให้ผู้ชายคิดว่า เธอดูเพอร์เฟ็กต์เกินไปหรือดูเชี่ยวเกินไป ซึ่งอาจหมายความรวมไปถึงเจ้าชู้มากเกินไปนั่นเองค่ะ

3. ความเซ็กซี่
แน่นอน ผู้ชายมักชอบมองผู้หญิงที่ความเซ็กซี่อยู่แล้ว แต่ความเซ็กซี่ก็ไม่ได้ตัดสินจากหน้าตาหรือเสื้อผ้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่มันรวมไปถึงกิริยาท่าทาง น้ำเสียง และการใช้สายตาด้วยต่างหากล่ะ ถึงแม้ว่าคุณเกิดมาหน้าตาไม่สะสวยอย่างอั้ม-พัชราภา แต่หากฉลาดที่จะแสดงออก อย่างเช่น แทนที่จะทักทายเฉยๆ ก็ลองสบตาสักครู่ พร้อมกับแย้มริมฝีปากนิดๆ ก็ทำให้คุณ กลายเป็นสาวที่น่าค้นหาได้เลยนะคะ

4. โสดหรือเปล่า
ผู้ชายส่วนใหญ่มักจะแอบสังเกตว่า คนที่ปลื้มอยู่นั้นมีเจ้าของหรือยัง ซึ่งมองได้จาก หากมีชายหน้าตาดีเดินผ่านมา หญิงที่มีแฟนอยู่แล้วมักจะทำได้แค่มองเพียงแวบเดียว แต่ถ้ายังโสดอยู่ละก็ อาจถึงขั้นหันไปทั้งตัวได้เลยนะ

5. นิสัยชอบชิงดีชิงเด่น
ในกรณีที่คุณกำลังดินเนอร์กับชายหนุ่มอยู่นั้น เผอิญมีหญิงไม่ทราบที่มาเดินเข้ามาทักเขาเฉยเลย แถมยังทำมึนไม่เห็นคุณอยู่ในสายตาอีกด้วย ถ้าหากคุณเกิดโวยวายและมองอย่างเกรี้ยวกราดละก็ เขาคงไม่แฮปปี้แน่ๆ แต่ถ้าคุณทำสุขุมและนิ่งเฉย นั่นแหละจะสร้างความประทับใจให้กับเขาอย่างไม่รู้ลืมเลยละ

6. สายตาจ้องจับผิด
เมื่อคุณถูกแนะนำให้รู้จักกับชายหนุ่มคนหนึ่ง อย่า! ใช้สายตาเพื่อสแกนเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าเชียวนะคะ เพราะผู้ชายคงจะไม่ชอบแน่ หากโดนจับจ้องด้วยสายตาแบบนี้

7. ความ Friendly ผู้ชายส่วนมากมักมองหาความเป็นมิตร ความเรียบง่ายๆ สบายๆ และมีอารมณ์ขันในตัวหญิงสาว เพราะเขาจะได้ไม่รู้สึกอึดอัดเมื่อต้องออกเดทกับคุณไงล่ะ

8. รูปร่าง
รูปลักษณ์ภายนอกก็เป็นสิ่งสำคัญ ถึงแม้ว่าหุ่นคุณจะไม่เซ็กซี่อย่างน้องแตงโม หรือหน้าตาไม่น่ารักถึงขั้นน้องมด หากแต่มีความมั่นใจในรูปร่างของตัวเองแล้ว บุคลิกที่แสดงออกมาก็จะดูดีไปด้วย แถมยังช่วยสร้างเสน่ห์ให้กับตัวคุณแบบไม่รู้ตัวอีกด้วยนะ

9. จู้จี้ขี้บ่น
ผู้ชายมักจะสังเกตผู้หญิงว่าจู้จี้ขี้บ่นหรือไม่จากการดูว่าคุณชอบขอเปลี่ยนเก้าอี้บ่อยๆ หรือเปล่า หรือชอบเล่าว่าวันนี้เจอปัญหาอะไรมาบ้าง ทั้งๆ ที่มันเป็นแค่เดทแรกระหว่างเขากับคุณ!

10. กำลังต้องการใครสักคน
เวลาที่เจอผู้ชายในเสปคที่ทั้งหล่อ เท่ และรวยสุดๆ หากคุณเผลอแสดงอาการปลื้มจนเวอร์ออกไปแล้ว อาจทำให้เขารู้ว่า คุณน่ะคงจะเพิ่งผ่านการอกหักมาหมาดๆ และกำลังมองหาเสาหลักอันใหม่อยู่แน่ๆ



ขอบคุณข้อมูลจาก ชุมชนการเรียนรู้

เวลาคนเราเป็นแฟนกัน ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จและสมหวัง "รักแล้วรักเลย" ไปซะทุกคู่ ว่ามะ ฮี่โธ่ ยังเคยเห็นตัวอย่างมาหลายคู่เลยที่รัก... รัก...รักอยู่วันเนี้ย แต่เผลอแป๊บเดียว...เอ้า ไหงเลิกกันซะแล้วล่ะ เอ้...เป็นงี้ได้ไงฟะ แต่บ่นไปงั้นหรอกนะ ใครจะรักจะเลิกกันก็เชิญเถอะจ้า

มาลองพิจารณาสังคมทุกวันนี้ดูดิ่ รู้สึกกันมั่ง รึเปล่าว่า มีสิ่งที่ทำให้แฟนถอยห่างจากกันง่ายเหลือเกิน จึงทำให้ใจคอของพวกเรา (บางคน) ไม่ค่อยอยู่กะเนื้อกะตัว ไม่มั่นคงในรัก คบกันไม่ค่อยยืด แถมบางรายยังชอบปล่อยตัวเผลอไผลไปชอบใจใครๆ แบบทีเดียวหลายคนซะด้วยสิเพราะคงไม่มีแฟนคู่ไหนจี๋จ๋าประสารักกันด้วยความราบรื่นตลอดเวลาแหงๆ บางคราคงต้องมีมั่งอ่ะที่ไม่เข้าใจกัน, พูดไม่ถูกหู หรือพูดกันไปพูดกันมา ตอนเริ่มต้นก็พูดภาษาดอกไม้กันดีหรอก แต่ปิดท้าย...ว้าย! ทำไมฟังแล้วแสลงหูจังฟะ เห็นมะโอกาสที่แฟนกันจะเข้าใจผิดน่ะมีเยอะเนอะอ่ะ งั้นมาไล่เรียงกันดูเถอะ ว่ามีตัวการอะไรบ้างน้าที่สามารถสั่นคลอน ความรักของคู่เลิฟให้ (เกือบ) ไปกันไม่รอดได้บ้าง เช่น......

1.มีพวกยุให้รำตำให้รั่วอยู่รอบๆ ตัวคู่รักไงเล่า
สงสัยคู่ของเราจะเป็นคู่กรรมแฮะ เพราะคนที่อยู่รายล้อมรอบเราน่ะเสล่อชอบสอดรู้ สอดเห็นเรื่องชาวบ้าน แถมแค่นี้ยังไม่พอซะด้วยนะ ยังชอบวิพากษ์วิจารณ์คู่ของเราแบบเสียๆหายๆ ซึ่งไอ้เรื่องที่นำมาพูดน่ะ ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องปั้นน้ำ เป็นตัวทั้งนั้นแหละ หรือถ้ามีความจริงอยู่มั่งก็นิดหน่อยเหตุนี้ต่อให้ใจของคู่รักมั่นคงต่อกันเพียงใด แต่หากเผลอไผลไปได้ยินได้ฟังไอ้พวกไม่ประสงค์ดี ต่อคู่รักคู่นั้นบ่อยๆ เป็นใจใครก็ต้องหวั่นไหวมั่งละน่าแล้วสงสัยไหมว่า ทำไมพวกบ้าบอคอแตกเหล่านี้ถึงอยากทำให้คู่ของเราแตกแยกกันนัก? ปุจฉาข้อนี้ก็ง่ายมาก เพราะ พวกนี้เห็นคนอื่นมีความสุขไม่ได้น่ะซี ต้องคอยอิจฉาริษยาคอยตามรังควานไม่ให้คู่รักคู่นั้นแฮปปี้ เอนดิ้ง ไม่งั้นเดี๋ยวพวกนี้จะอกแตกตายกันละมั้ง ถึงต้องคอยเป็นมาร คอหอยและมารความรักคนอื่นเค้าอยู่ได้ ดังนั้น ใจคอของคู่รักจึงต้องหนักแน่นเอาไว้นะจ๊ะ ขืนเต้นไปตามแรงอิจฉาของพวกนี้ ก็เสร็จกันพอดี

2. มีมือที่ 3 โฉบเฉี่ยวเข้ามายั่วกิเลสให้เบรกแตกกันไปข้าง

ไอ้หยา ถ้าขืนความรักของคุณถูกพวกชอบตื๊อ เข้ามากวนประสาททำลายบรรยากาศรักละก็ คู่รักคู่นั้นควรตั้งสติเพื่อรับมือกับ "พวกชอบแย่งแฟนชาวบ้าน" ร่วมกันให้ดีๆนะฮ้า อย่าปล่อยให้พวกชอบทำตัวเป็นมือที่สามใช้มารยาทำทีมากระแซะกระเซ้าและหลอกล่อให้สมาธิของคู่รักฝ่ายใดฝ่ายนึงไขว้เขวหรือตบะแตกเข้าล่ะ เพราะหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหลงละเมอไปกะไอ้พวกนี้เพียงครั้งเดียวละก็ คิดรึว่า ต่อไปอีกฝ่ายจะเชื่อใจคู่รักของตัวเอง...ไม่มีทาง! ดังนั้น หากคู่รักคู่ใดเจอ "พวกชอบรักคนมีเจ้าของ" เมื่อไหร่ ต้องช่วยกันปิดหูปิดตาตัวเอง ไว้ดีๆ อย่าให้มันยั่วยวนจนเอาชนะกิเลสไปได้เชียว

3. ฐานะของคู่เลิฟที่แตกต่างกันจนเว่อร์ ก็อาจทำให้ไปกันไม่รอดได้
เอ้าคิดดูนะ ถ้าฝ่ายชายเป็นหนุ่มชาติตระกูลดี แถมครอบครัวมีตังค์ เกิดไปจับคู่กับสาวชาวบ้านขาย ส้มตำน้ำตกเข้า รับรอง ครอบครัวของพวกเค้าเองนั่นแหละที่จะอึดอัดกับความรักของคู่นี้ โดยเฉพาะครอบครัวของฝ่ายชาย คงพยายามเบรกลูกชายไว้สุดฤทธิ์ เพราะอยากให้ไปรักคนที่มีฐานะใกล้เคียงกับพวกเค้ามากกว่าน่ะเซ่ แต่ว่าไปถ้าเกิดฝ่ายหญิงรวยโคตรเป็นไฮโซละก็ แปลกแฮะที่ฝ่ายชายมัก ได้รับการยอมรับให้เป็นแฟนง่ายกว่าแฮะ ถ้างั้น เวลาจะคว้าใครมาเป็นแฟนควรดูตาม้าตาเรือสักนิดก่อนว่า ไม่ได้มีฐานะต่างกันสุดขั้วเกินไปแน่นะ ไม่งั้นเดี๋ยวรักของคู่นี้จะมีปัญหา เตือนเพราะรักจริงๆนะน้อง
4. แล้วถ้ารักแท้เกิดแพ้ระยะทางขึ้นมาล่ะ ก็มีสิทธิ์ทำให้แตกกระเจิงกันได้
เวลามีความรัก ขอบอกเลยจ๊ะว่า อย่าพยายามแยกห่างจากกันแบบไปอยู่ไกลหูไกลตากันนานๆ... ขอเน้นคำว่าห่างกันนานๆ เชียวนะ เพราะคู่ที่ห่างกัน ด้วยระยะทางเนี่ย มีความเป็นไปได้มากน่ะสิว่า แต่ละฝ่ายจะไปเจอสิ่งใหม่ๆ, บรรยากาศใหม่ๆ, แม้แต่คนใหม่ๆ จนทำให้ "ความรักที่ไม่ค่อยได้เห็นหน้าค่าตากัน" อ่อนพลังลงไปจนแทบไม่เหลือความผูกพันให้กันแล้วน่ะซี

5. ช่องว่างระหว่างวัย ถ้าห่างกันมากไปอาจไม่ใช่รักแท้ก็ได้
เพราะรักต่างวัย ดูไปคล้ายกับผู้ใหญ่แอบมีกิ๊กหรือเลี้ยงเอ๊าะๆไว้เล่นๆซะมากกว่าน่ะสิ แต่แหม เรื่องนี้จะให้ฟันธงไปซะทุกคู่ก็ไม่ได้ เนื่องจากบางคนเค้าชอบมีคู่ใจที่อายุมากกว่าหรือน้อยกว่ากันจริงๆก็มีนี่หว่า โถ...ขอให้ใจเราตรงกัน เรื่องอายุมันก็แค่ตัวเลข 555

6. วันหยุดที่ไม่ตรงกัน แล้วจะแสดงความรักให้ซึ้งใจกันได้ไงวุ้ย
ถ้าคุณทำงานเป็นกะ ส่วนเค้าทำงานตามเวลาราชการ แล้วคุณทั้งสองก็มีวันหยุดไม่ตรงกันซะด้วย เพราะเค้าอาจได้หยุดวันเสาร์อาทิตย์ เดะๆ ส่วนวันหยุดของคุณมีการหมุนไปเป็นวันธรรมดาซำเหมอ นี่ก็เป็นอีก 1 อุปสรรครักนะยะที่ทำให้พวกคุณ ไม่ค่อยมีเวลาส่วนตัวที่จะหนุงหนิงกันเหมือนคู่รักคู่อื่นๆ

ดังนั้น เวลาที่พวกคุณจะได้อี๋อ๋อออเซาะกันแต่ละทีก็ต้องนัดกันให้ดีๆ เพราะเวลาที่มีแตกต่างกัน นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะปรับเข้ากันได้ง่ายๆ เลยนะ เหตุนี้ ความเข้าอกเข้าใจกันจึงเป็นสิ่งจำเป็น แต่บางคู่ก็บอกชอบนะที่มีเวลาไม่ตรงกันอย่างนี้ เพราะจะได้ไม่เบื่อหน้ากันอย่างรวดเร็วไง! งั้นขอให้เลิฟกันนานๆ นะ


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

อันนินทากาเลเหมือนเทน้ำ ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดมากรีดหิน แม้องค์พระปฏิมายังราคิน มนุษย์เดินดินหรือจะสิ้นคนนินทาสุภาษิตนี้ช่างแทงใจดำเคล้าสีแดงของฉันจริงๆ ก็จะไม่ให้เศร้าได้อย่างไร เมื่อเพื่อนสาวสุดเลิฟกำลังเปิดปากพ่นน้ำลายใส่คนอื่นใน Topic เรื่องของฉัน งานเลยวิ่งเข้าตัวแบบไม่ตั้งใจ เอายังไงต่อดีล่ะ จะเดือดหรือจะดับ จะด่าหรือจะดิ่งดี ใครคิดไม่ออก เรามีคำตอบมาบอกให้ เอ้า!!สาวขี้เม้าท์ทั้งหลายเตรียมตัวรับมือกันเร็ว

1. มีสติ เราเข้าใจความรู้สึกของคนที่โดนเม้าท์ดีว่า ทั้งสับสน ทั้งโกรธ ทั้งอาย หลายอารมณ์ผสมปนเปกันไปหมด ฉะนั้นสิ่งแรกที่เราอยากให้คุณผู้ถูกกระทำได้ลงมือทำคือ “มีสติ” แม้สมองจะเบลอเอ๋อไป 2 วิ ก็ต้องรีบฟื้นฟูให้สติสัมปชัญญะกลับมาโดยไว เพราะเมื่อมีสติจะทำให้เราคิดได้ว่า เอ๊ะ!!มันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ และยังไตร่ตรองถึงเหตุและผลว่า เธอผู้ที่เคยใช้คำว่า “เพื่อน” กับเราเขาทำอย่างนั้นจริงๆหรือ เขาทำไปทำไม และทำไปเพื่ออะไร ซึ่งพอสติมาจะทำให้เราเข้าใจเรื่องที่เกิดได้ง่ายขึ้นและไตร่ตรองได้ดีขึ้น เช่น เรากับเพื่อนโกรธกันอยู่หรือเปล่าหรือเพื่อนทำไปเพราะแกล้งเราหรือเปล่า ซึ่งถ้าพอจะทราบสาเหตุแล้ว ความโกรธและความแตกร้าวที่เกิดขึ้นก็อาจทุเลาลงไปได้บ้าง


2. นิ่งเฉย นาทีนี้ต้องยึดสุภาษิตที่ว่า “พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง” เอาไว้กับตัว แม้ความจริงคุณอยากร้องตะโกนให้คนอื่นรู้ว่า “หล่อนโกหกย่ะ อย่าไปเชื่อหล่อนนะ” แต่เราขอให้ห้ามใจและห้ามปากเอาไว้ค่ะ เพราะลองคิดดูสิว่า ใครเขาจะเชื่อคุณ ในเมื่อเพื่อนสาวได้แฉไปซะหมดแล้ว ในตอนนั้นคงไม่มีใครมารับรู้กับคุณหรอกว่า เรื่องทั้งหมดมันเป็นเรื่องโกหก ฉะนั้นนิ่งไว้ดีที่สุด อีกอย่างคือ จุดประสงค์ของคนที่นินทาคือเห็นความพ่ายแพ้ของอีกฝ่าย แต่คุณจะยอมเป็น Loser ให้เขาหัวเราะง่ายๆหรือ ฉะนั้นการวางตัวเฉย ไม่ใส่ใจเสียงนกเสียงกานั้นเริ่ดกว่าเป็นไหนๆ และเมื่อการปล่อยข่าวเม้าท์แบบโคมลอยไม่เป็นผลอะไรกับคุณ ยัยเพื่อตัวแสบนั่นแหละที่จะเป็น Loser ฮ่าๆๆๆ


3. เปิดอกคุย เป็นวิธีที่เราอยากแนะนำมากที่สุด กล่าวคือเมื่อเรื่องทั้งหมดเริ่มซาหรือความโกรธในใจคุณเริ่มเบาบางลงแล้ว เราอยากให้คุณเปิดใจคุยกับเพื่อนสาวให้เคลียร์จะได้ไม่ติดค้างกันไปตลอดชาติ ว่าทำไมถึงต้องพ่นข้อมูลร้ายๆใส่คนอื่นแบบนั้น ในกรณีที่คุณได้ยินเองเต็ม 2 รูหู ก็ควรจะคุยกันแค่ 2ต่อ2 แต่ถ้าในกรณีที่มีมือที่สามเข้ามาเป็นตัวกลางในการบอกเล่าให้คุณฟัง ก็ควรเพิ่มพยานปากเอกขึ้นมาอีกหนึ่ง ซึ่งการเปิดใจคุยกันถือเป็นการให้เกียรติอีกฝ่ายและเป็นการกระชากหน้ากากปลอมๆของอีกฝ่ายไปในตัว เพราะการเผชิญหน้ากันแบบตรงๆนั้น ยากต่อการโกหกยิ่งนัก ดังนั้นคุณจะได้ขุดคุ้ยเอาความจริงจากปากเพื่อนออกมาว่าสาเหตุจริงๆแล้วเกิดจากอะไรกันแน่ ถ้าเป็นเพราะเคืองคุณก็จะได้แก้ไขตัวเองได้ทัน อีกอย่างอาจเป็นวิธีที่ช่วยให้คุณกับเพื่อนได้ปรับความเข้าใจกันแล้วหวนกลับมาคืนดีกันก็ได้ อย่างสาว Serena และสาวแสบอย่าง Blair ที่ไม่ว่าจะเม้าท์มอยกันมานานแค่ไหน แต่สุดท้ายก็เคลียร์กันเข้าใจและกลายมาเป็นเพื่อนสนิทกันอีกจนได้



4. ทำความเข้าใจและทำตัวเองให้เข้มแข็ง ถ้าเคลียร์กับเพื่อนสาวเจ้าปัญหาเรียบร้อยแล้ว ก็ควรมาทำความเข้าใจกับปัญหาที่เกิดขึ้นเพื่อแก้ไข อีกอย่างที่เราอยากให้คุณรีบทำคือ การทำความเข้าใจกับโลกใบนี้ให้มากขึ้น กล่าวคือ โลกเรามี 2 ด้านเสมอ คือด้านดีและด้านร้าย และความจริงคือ ไม่มีที่ไหนในโลกที่ไม่มีการนินทา ฉะนั้นเมื่อการนินทานั้นได้มาเกิดกับตัวคุณ ขอให้คุณเข้มแข็งไว้และอย่าปล่อยให้ปากคนมาทำร้ายความรู้สึกของตัวเอง คนเราจะพ่นลมออกจากปากมากแค่ไหนก็ได้ แต่ลมปากที่ลอยไปลอยมาไม่มีสิทธิ์ที่จะมาทำร้ายคุณได้ นอกซะจากว่าคุณคว้ามันมาไว้ที่ตัวเอง ดังนั้นไม่ว่าจะเจอคำพูดที่ร้ายแรงแค่ไหน แต่มันก็ไม่ร้ายไปกว่าการที่คุณเอามันมาทำร้ายตัวเองหรอกนะ


5. ถ้าคบกันมันลำบากก็เลิกซะเถอะ ข้อนี้เราขอให้เป็น Choice สุดท้ายที่คุณจะเลือกมาใช้ กล่าวคือถ้าเกิดว่าเคลียร์ก็แล้ว คุยก็แล้ว แต่ไม่สามารถก้าวเดินต่อกับเพื่อนคนนี้ได้จริงๆ ก็เลิกคบเถอะค่ะ ไม่ต้องเสียใจที่เสียเพื่อนไป เพราะถ้าเขาเป็นเพื่อนคุณจริงๆ เขาคงไม่ทำร้ายคุณแบบนี้ เสียใจตอนนี้ยังดีกว่าต้องเจอกับความร้ายกาจของเพื่อนคนนี้ในตอนที่สายจนเกินเยียวยา ให้คิดซะว่าถ้าการคบกันมันลำบากนักก็เลิกเถอะ มัวคบไปก็ไลฟ์บอย คนดีๆอย่างคุณยังมีอีกหลายคนที่อยากจะทำความรู้จักแน่ๆ เพื่อนเลวๆแบบนี้ทิ้งไปเถิดค่ะ

ใครที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ รีบทำตามที่เราบอกด่วนเลย ก่อนที่คุณจะต้องตกเป็นทาสลมปากของใครไปตลอดกาล





ขอขอบคุณข้อมูลจาก

เย็นตาโฟร์ดอทคอม

เขาปิ๊งคุณบ้างไหม…?
โดยสมาชิก Kapook Planet โดยคุณ ยูจิน
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Glitter.kapook.com

เขาปิ๊งคุณบ้างไหม…? ลองอ่านดูสิคะว่าเพื่อน ๆ กำลังเจอกับเหตุการณ์แบบนี้อยู่หรือเปล่า…

1. แหม... พักนี้เจอเขาบ่อยมาก ๆ ไม่รู้ตั้งใจผ่านมาให้เห็นหรือเรื่องบังเอิญกันแน่

2. เขาชอบเข้ามาชวนคุย (ทั้ง ๆ ที่แต่ก่อนไม่เคย) แถมการแต่งตัวของเขาก็ดูดีขึ้นกว่าเดิมอีกต่างหาก

3. เวลาทำอะไร เขาชอบมาปรึกษาหรือขอความคิดเห็นจากเธอเสมอ ไม่ว่าเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่

4. เธอมีความรู้สึกว่าเขาเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมที่เธอทำบ่อย ๆ

5. เขาชอบชมว่าเธอแต่งตัวน่ารัก ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า... หน้า... ผม...หรือรองเท้า หรือไม่ก็พูดว่า
อยากเห็นเธอแต่งตัวอย่างนั้นใส่เสื้อผ้าอย่างนี้

6. เขาชอบมองมาที่เธอบ่อย ๆ โดยไม่มีสาเหตุ พอถามว่ามีอะไร? ก็บอกว่า "เปล่า"

7. เขาชอบหาเรื่องมาแกล้ง หรือแหย่เธอให้งอนเล่นๆ หรือไม่ก็มักมีของเล็ก ๆ น้อย ๆ มาฝาก

8. บางทีเขาก็ชอบคุยเรื่องใครซักคนที่เข้ามาเป็นคนพิเศษ เป็นคนที่เข้าใจเขาให้เธอฟัง

9. เขาเคยถามเธอว่ามีคนพิเศษหรือยัง หรือบางทีก็หลอกถามแบบอ้อม ๆ ไม่กล้าถามตรง ๆ หรือไม่ก็ชอบจับผิดเธอกับผู้ชาย

10. เขาตั้งใจฟังเธอบ่นโดยไม่ขัด แถมยังชอบตามใจอีกต่างหาก

11. เพื่อนของเขาหรือเพื่อนของเธอ ชอบเอาเธอและเขามาล้อ ทั้ง ๆ ที่เธอไม่ได้บอกอะไรเลย แต่เขาก็ไม่ได้โกรธอะไร

12. เวลาเธอขอความช่วยเหลืออะไร เขาก็เต็มใจช่วยสุด ๆ ไม่เคยเกี่ยง ไม่ว่าเขาจะติดธุระที่ไหนก็ตาม

13. เขารู้เรื่องส่วนตัวของเธอเกือบทุกเรื่อง?

ทีนี้ก็มาดูเฉลยเลยว่า… เขากำลังปิ๊งคุณอยู่หรือเปล่า?

ตรงกับคุณอยู่ 11 - 13 ข้อ

ว้าว…!! เขาปิ๊งเธอชัวร์ ก็แหม… เล่นโผล่มาให้เห็นบ่อยๆ แบบนี้ แถมยังชอบเข้ามาชวนคุยโน่นคุยนี่อีกต่างหาก (ทั้ง ๆ ที่ไม่มีเรื่องคุย ก็ยังจะสรรหามาคุยได้) ขอแนะนำให้เธอทำตัวตามปกติ ไม่ต้องเก๊กหรือว่าเขินอายนะ เพราะ
เสน่ห์ของเธอก็อยู่ที่ความเป็นเธอนั่นแหละ

ตรงกับคุณอยู่ 8 - 10 ข้อ

เขาปิ๊งเธอเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไม่ต้องงัดมารยาหญิงเข้ามาเสริม รอดูท่าทีเขาไปก่อน และกรุณาอย่าแสดงนิสัยแย่ ๆ ออกมาให้เขาเห็นซะก่อนละ ไม่งั้นเดี๋ยวเขาจะรับไม่ได้ เผ่นแนบไปเลยจะทำไง

ตรงกับคุณอยู่ 5 - 7 ข้อ

เพราะเขากลัวแห้ว เลยไม่แน่ใจว่าจะแสดงอาการปิ๊งเธออย่างโจ่งแจ้งดีมั้ย ก็เลยต้องดูลาดเลา ตามสังเกตพฤติกรรมของเธอไปพลาง ๆ ก่อน แต่ถ้าเธอแสดงออกให้เขาเห็นว่าเธอเองก็ปิ๊งเขาอยู่ รับรองว่าเขาต้องมั่นใจจนต้องเข้ามาสารภาพแน่เลย

ตรงกับคุณอยู่ 3 - 4 ข้อ

เขาสนใจเธออยู่นะ แต่เป็นความรู้สึกแค่เริ่มต้นเท่านั้น ยังไม่ได้ลึกซึ้งอะไรมาก เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งทำเป็นได้ใจไป ให้สังเกตท่าทีเขาไปก่อนจะดีกว่านะจ๊ะ

ตรงกับคุณอยู่ 0 - 2 ข้อ

เห็นทีต้องพยายามหาทางเสนอหน้า หรือคอยป้วนเปี้ยนใกล้ ๆ เขาเองซะแล้ว ทำไงได้ล่ะ… ก็เขายังไม่มีทีท่าว่าจะปิ๊งเธอเลยนี่นา และขอแนะนำว่าถ้าอยากได้ใจเขาจริงๆ ต้องพยายามในทางที่ถูกที่ควรด้วยนะจ๊ะ

ฮั่นแน่!! อ่านจบแล้วไม่ต้องอมยิ้ม ใครเคยเจอกับเหตุการณ์น่ารัก ๆ หรือเรื่องราวชวนให้แอบยิ้มคนเดียวแบบนี้
บอกกันด้วยนะจ๊ะ


สีแก้มระเรื่อทำให้ผู้หญิงดูสวยแบบสุขภาพดี (Lisa)
ของคุณเป็นสีอ่อนใสกลมกลืนกับผิวแต่ในขณะเดียวกันก็ติดทนนานไปพร้อม ๆ กัน? ลองใช้เทคนิคของ เจมส์ โบห์เมอร์ ช่างแต่งหน้าผู้สร้างสรรค์เมคอัพให้แก่โชว์ของ Cynthia Steffe ใน New York Fashion Week 2008 ที่ผ่านมา นั่นก็คือหลังจากลงรองพื้นแล้วให้แต่งแต้มพวงแก้มด้วยบลัชแบบครีม "สีแก้มเนื้อครีมจะช่วยให้ผิวดูมีสุขภาพดี แก้มมีสีเปล่งปลั่งจากภายใน"

จากนั้น ก็ทาทับด้วยบลัชออนแบบฝุ่น ที่จะทำให้สีสันของแก้มติดทนนานขึ้น แต่เพื่อให้สีของพวงแก้มไม่ดูจัดจ้านแบบจงใจเกินไป เจมส์แนะนำให้ใช้มือทา “ทาแบบสัมผัสโดยใช้นิ้วมือ หน้าจะดูมีสีหน่อย ๆ เหมือนไม่ตั้งใจ” วิธีนี้จะสร้างความรู้สึกที่ว่าสีต่างๆ เกิดขี้นมาเองจากผิวเองตามธรรมชาติ หรือถ้าจะใช้แปรงปัดแก้ม ให้แตะสีอย่างบางเบา และปัดอย่างเบามือที่สุด

ช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดในการดูแลเล็บคือหลังอาบน้ำ เพราะอะไรน่ะหรือคะ ก็เพราะเป็นช่วงที่เล็บของคุณสะอาดและอ่อนนุ่มที่สุดนั่นเอง ส่วนขั้นตอนอื่นๆที่สำคัญเพราะ ถ้ามือและเท้าของเราสะอาดและมีสุขภาพดีแล้วล่ะก็ จะทาเล็บสีอะไรหรือเพ้นต์เล็บลายอะไรก็ดูดีแน่นอนค่ะ ก่อนอื่นแนะนำให้รักษาความสะอาดของอุปกรณ์ทำเล็บทุกชนิดและน้ำยาทาเล็บให้คงทนถาวรได้อีกนานเท่านานค่ะ

น้ำยาเติมยาทาเล็บ ซึ่งใช้เพื่อช่วยให้ยาทาเล็บไม่ข้นเกินไปนั้น ถ้าเก็บไว้ในตู้เย็นจะช่วยให้เก็บไว้นานขึ้น

ไม่ควรใช้น้ำยาล้างยาทาเล็บเกินกว่าอาทิตย์ละครั้ง เนื่องจากจะทำให้เล็บแห้งและแตกง่าย

Sealer หรือ Top Coat ยาเคลือบเงาเล็บเป็นน้ำยาที่ใช้ทาทับยาทาเล็บอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งคุณสามารถใช้ยาทาเล็บแบบสีใสชนิดใดก็ได้มาทาเพื่อการนี้ ซึ่งจะช่วยลดการกร่อนและแตกของเล็บได้ คุณสามารถใช้ยาทาเล็บใสนี้ได้ทุกวันเพื่อช่วยป้องกันและคงความชุ่มชื่นให้เล็บ

เล็บที่แต่งด้วยยาทาเล็บเป็นประจำทำให้เล็บมีสีเหลือง ดังนั้นลองแช่นิ้วมือและเท้าในน้ำมะขามที่ผสมน้ำทิ้งไว้สักครู่ประมาณ 10 นาที แล้วล้างออก หรือจะใช้มะนาวฝานมาถูเล็บบ่อยๆ ก็ได้ผลเช่นเดียวกัน

ควรทาครีมหรือโลชั่นเพื่อช่วยชดเชยความชุ่มชื้นให้แก่เล็บและมือของคุณที่เสียไป เพราะฤทธิ์ของสบู่และน้ำยาล้างมือ การใช้ครีมที่ให้ความชุ่มชื่น เช่น วาสลีนจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้ นอกจากหลังล้างมือแล้วคุณควรทาก่อนนอนอีกด้วย

ยาทาเล็บคราบสกปรกหรือแม้แต่เชื้อแบคทีเรียอาจฝังอยู่บนเล็บ เป็นรอยเลอะๆ ทำความสะอาดได้ด้วยการใช้สำลีชุบไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (น้ำยาล้างแผล) บีบลงตามซอกเล็บทิ้งไว้สักครู่ สิ่งสกปรกจะลอยออกมาอย่างง่ายดาย แล็วใช้ไม้พันสำลีเล็กๆ เช็ดออกคุณก็ไม่ต้องแคะซอกเล็บให้เจ็บนิ้ว หรือจะใช้น้ำสบู่และแปรงสีฟันขัดออกขณะอาบน้ำก็ได้ แล้วหลังจากนั้นอย่าลืมทาครีมบำรุงเล็บด้วย

ความรักนั้นมีหลายแบบ ถ้ารักในทางที่ผิดก็อาจส่งต่อคนที่คุณรักได้ วันนี้มีรูปแบบของความที่ไม่ควรเอาเป็นแบบอย่างมาบอกกัน...




-รักไม่ลืมหูลืมตา
รักแบบหลับหูหลับตา หรือ รักแบบเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ความรัก ประเภทแบบนี้ เป็นการรักมากจนเกินพอดี จนต้องปลอบใจตัวเองว่าเขารักคุณจะตาย แต่ที่เขาแอบไปกุ๊กกิ๊กกับคนอื่น ก็เพราะเขาอยากหาสิ่งแปลกใหม่เข้ามาในชีวิต!



- รักเอาแต่ใจ

รักประเภทนี้เป็นรักที่น่ารำคาญเป็นที่สุด คุณอาจเป็นตัวน่ารำคาญหรือไม่ก็เขา แต่ส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็น ผู้หญิง ไม่ว่าจะไปไหนมาไหนคุณต้องให้เขาโทรรายงานตลอด ถ้าเขาไม่โทรมาก็ทำหน้าบึ้งใส่เขา และจบลงด้วยการงอน



- เดี๋ยวรักเดี๋ยวเลิก


รักประเภทนี้ อาจจะทำให้คู่รักเริ่มเบื่อ ๆ กันได้ เพราะไม่รู้ว่าจะเอายังไงกันแน่ ว่าเดี๋ยวจะรัก เดี๋ยวจะเลิก ครั้งแรก ๆ อาจจะยอมกัน แต่ถ้าบ่อย ๆ ก็ระวังเขาจะรำคาญได้จนทำให้ต้องเลิกรักกันจริง ๆ



- รักตัวเองไม่เป็น

คนที่ไม่รักตัวเองมีมากมายจนนับไม่ถ้วน ซึ่งสาเหตุ ก็มาจากการรักคนอื่นเสียจนลืมส่องกระจกดูตัวเอง ลืมถามความต้องการที่แท้จริงของตัวเอง และเผลอ ๆ ก็อาจสูญเสียความเป็นตัวเอง เพราะปล่อยให้วิธีคิดแบบผิด ๆ



อ่านแล้ว คู่รักก็อย่าลืมรักกันให้ถูกแบบ จะได้รักกันไปนาน ๆ.

1.คนที่ใช่ ไม่ได้มีเพียงคนเดียว : ถ้าคุณคิดว่าคุณทำคู่แท้หลุดมือไปแล้วล่ะก็ อย่าเสียใจไปเลย โลกนี้เต็มไปด้วย ผู้ชายที่มีแนวโน้มจะเป็นคนที่ใช่เยอะแยะ "เหตุผลที่ผู้หญิงมากมายทุกข์ใจ จากการเดท ก็เพราะพวกเธอเชื่อว่า โลกนี้มีผู้ชาย แค่คนเดียวที่ถูกสร้างมาเพื่อเธอ"


2.รักแรกพบมีจริง :
มันเป็นไปได้ ที่เราจะรักใครซักคน ที่เพิ่งเจอแค่แป๊ปเดียว "ทางชีวภาพสัตว์ต้องหาคู่ให้ได้ ก่อนฤดูผสมพันธุ์สิ้นสุด ก็เลยต้องถูกตาต้องใจกันอย่างเร็ว" ในเมื่อสมองเราก็ส่งสารแบบนั้น เราก็เลยสามารถตอบโต้ ตัวกระตุ้นอย่างความชอบ ภาษากายและความเข้ากันได้อย่างรวด เร็ว


3.อยู่ห่างๆ กันบ้างก็ดี : ในขณะที่คุณกำลังคลั่งรักหัวปักหัวปำ สิ่งที่คุณอยากทำก็คือเอาอกเอาใจเขา และอยากเกาะติดเขาแจได้ทั้งวันทั้งคืน "การอยู่ห่างกันทำให้สารเคมีแห่งความรัก อย่างโดพามีนและนอเรฟฟินเนฟฟิลในสมองเพิ่มผลผลิต"



4.ความรักไม่ใช่เรื่องของอารมณ์ : ความรักกระตุ้นสมองส่วนที่สัมพันธ์กับการจดจ่อไปที่แรงจูงใจ และแรงผลักดัน ซึ่งตรงข้ามกับสมองส่วนความรู้สึก เช่นความสุขหรือความเศร้า ตอนนี้เราก็รู้แล้วว่า ทำไมเราถึงว้าวุ่นใจเป็นพิเศษ สำหรับคนที่ทำให้ชีพจรเราเต้นรัว


5.ความรักเป็นสิ่งเสพติด: เมื่อเราดูรูปคนรักเก่า ส่วนของสมองที่เกี่ยวข้อง กับการเสพติดแอคทีฟเป็นพิเศษเลย โดพามีนถูกหลั่งออกมา แล้วเราก็รู้สึกเคลิบเคลิ้ม จิตใจหวั่นไหวล่องลอยอย่างแรง เหมือนใช้ยาเสพติดเลย นั่นคือสาเหตุที่เราโหยหาหวานใจเราไง


6.ผู้ชายรักง่ายกว่าผู้หญิง : เรามีแนวโน้มจะคิดว่าผู้หญิงรีบร้อนที่จะมีรัก แต่ความจริงผู้ชายเป็นอย่างนั้นมากกว่า "สมองผู้ชายติดตั้งสัญญาณเกี่ยวกับการมองเห็นมากกว่า" ดังนั้น เมื่อหนุ่มเห็นสาวที่ทำให้เครื่องเขาติด ก็จะมีแรงไปกระตุ้นสมองส่วนพิเศษที่มีเฉพาะในเพศชาย

ชีวิตเป็นของเธอ
ทางเดินชีวิตย่อมเป็นของเธอ
สองขาของเธอ จงก้าวไปตามทางนั้น
ทำในสิ่งที่เธอถนัดและเข้าใจ
เธอจะไปได้ดีเท่าที่เธอควรจะไป



หากอยากจะถามหา
ความจริงใจจากใครต่อใคร
ต้องเริ่มถามหาที่ตัวเธอเองก่อน
ว่ามีความจริงใจเพียงพอหรือไม่



ชีวิต
ไม่เคยมีคำว่าสาย
หากก้าวหลงเดินทางผิด
ย่อมกลับมาเริ่มต้นใหม่ได้
อาจจะช้ากว่าที่ควรจะเป็นไป
แต่ก้อยังดีกว่าดิ่งลึก
จมลงในความเลวร้ายทุกที ทุกที



ความผิดหวัง คือพลังสร้างความแข็งแกร่ง
จงยอมรับความผิดหวัง และความเจ็บปวดในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต และใช้มัน
เป็นบทเรียนที่จะไม่ให้เกิดขึ้น



ไม่มีเวลาไม่มีในโลก
เวลาคือสิ่งเดียวที่คนบนโลกได้รับเท่ากันอย่างยุติธร รมที่สุด เพียงแต่ใครจะสามารถ
จัดสรรเวลาให้มีค่ามากที่สุด



ชนะตนเองคือชัยชนะที่ยิ่งใหญ่
จงมุ่งมั่นความเป็นเลิศ แต่อย่ามุ่งหมายเพื่อความสมบูรณ์แบบ การเอาชนะใจจนเอง
คือชัยชนะที่ประเสริฐที่สุด ความสำเร็จตัดสินที่ความสุขในใจเรา



เป็นและอยู่อย่างผู้กล้าหาญ
จงกล้าเข้าไว้ หากโอกาสมันล่วงผ่านไป เราอาจจะเสียใจกับสิ่งที่ไม่ได้ทำมากกว่า
สิ่งที่ทำไปแล้วเสียอีก



ทำในสิ่งที่รักหรือจะรักในสิ่งที่ทำ
หากไม่สามารถเลือกทำงานที่เรารักได้ ก็จงรักในงานที่ต้องทำ เพราะความรักในงาน
ที่สร้างความสำเร็จได้เช่นเดียวกัน



อ่อนน้อม ถ่อมตน คือวิถีของผู้ทรงปัญญา
รวงข้าวที่หนักด้วยเมล็ดย่อมโน้มลงสู่ดิน เฉกเช่นผู้ทรงคุณวุฒิ และปัญญามักถ่อมตน



ปฏิบัติต่อผู้อื่นเหมือนที่อยากให้เขาปฏิบัติต่อเรา
ปฏิบัติสิ่งดี ๆ ต่อผู้อื่นให้เป็นนิสัย เพราะความดีย่อมได้รับการตอบแทนด้วยความดีเสมอ




เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส
จงฉวยสิ่งดีจากสถานการณ์ที่เลวร้ายแทนที่จะให้คำว่า "ปัญหา" ให้หันมาใช้คำว่า
"โอกาส" แทน เพราะเรื่องราวบนโลกนี้ มีมุมสำหรับมองมากกว่าสองด้านเสมอ




คนที่ไม่เคยพลาด คือคนที่ไม่เคยทำอะไรเลย
เมื่อพลาดพลั้งอย่าเพิ่งหมดหวังกับชีวิต มีเพียงคนที่ไม่เคยทำอะไรเลยเท่านั้น ที่จะ
ไม่เคยพบกับความผิดหวัง



คิดทุกคำที่พูด แต่อย่าพูดทุกคำที่คิด
ิจงระมัดระวังทุกคำที่พูด เพราะเมื่อพูดออกไปแล้ว ไม่สามารถเรียกกลับมาคืนได้



รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง
หากต้องการชัยชนะต้องศึกษาตนเองให้รอบทิศ ศึกษาคู่แข่งให้รอบด้าน ประเมินเขา
ประเมินเรา ก่อนลงสู้สนาม เพราะบางเวลาที่โอกาสที่ดี มีเพียงครั้งเดียว



หาเพื่อนใหม่ และถนอมมิตรภาพกับเพื่อนเก่า
มิตรภาพยิ่งเก่ายิ่งเลอค่า ทะนุถนอมความสัมพันธ์กับเพื่อนเก่า และแสวงหาเพื่อนใหม่
เพื่อขยายโลกให้กว้างขึ้น



เคยถามตัวเองบ้างไหม
ว่าชีวิตต้องการอะไร ?
ถาม ... และหาคำตอบให้แน่ใจ
และเข้าใจให้ถ่องแท้
เมื่อนั้น
เราจะก้าวต่อไปข้าวหน้าอย่างเชื่อมั่น
และถูกทิศทางกว่าเดิม



โลกเรายังคงหมุนไปทุกวัน
หากวันนี้เราหยุดนิ่ง
พรุ่งนี้ .........
เราก้อแทบวิ่งตามไม่ทัน



ชีวิตที่มีคุณค่า
คือการใช้เวลาที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า
อย่าปล่อยให้วันเวลาผ่านไปอย่างเปล่าประโยชน์เลย
มาเริ่มต้นสรรค์สร้างสิ่งดีดี
ให้กับชีวิตของเราเถิด

6 วิธีพัฒนาตนเองสู่ความเป็นเลิศ

‘วัยรุ่น’ เป็นวัยที่มีศักยภาพในการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว นอกจากผู้ปกครองจะพยายามส่งเสริมด้านสติปัญญา หรือ IQ ให้แก่วัยรุ่นแล้ว การพัฒนาด้าน EQ ก็เป็นสิ่งสำคัญ ‘เกร็ดน่ารู้’ สัปดาห์นี้ มีวิธีพัฒนาตนเองของวัยรุ่นสู่ความเป็นเลิศ มาฝากกัน

1.ตั้งเป้าหมาย เพราะชีวิตที่ประสบความสำเร็จ คือ ชีวิตที่มีเป้าหมาย ไม่ว่าจะเรื่องเล็ก เรื่องใหญ่ รวมทั้งการใช้เวลาอย่างมีคุณค่า เพื่อนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ต้องการ

2.มีวินัย เป็นหลักปฏิบัติที่ช่วยให้ทำงานสำเร็จ เอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ ได้ด้วยเวลาอันสั้น เป็นตัวกำหนดการเรียนรู้ที่จะรับผิดชอบหน้าที่ที่ได้รับ และช่วยควบคุมตนเองได้ดี

3.สร้างความมั่นใจ ถือเป็นก้าวแรกสู่ความสำเร็จและเป็นประโยชน์ในการดำเนินชีวิต ทั้งเรื่องเรียนและการทำงาน นอกจากจะส่งผลให้เป็นคนกล้าแสดงออก และกล้าเผชิญกับเรื่องต่างๆ อย่างมั่นใจแล้ว ยังทำให้บุคลิกภาพดีด้วย

4.รับฟังความคิดเห็น และคำนึงถึงความรู้สึกของผู้อื่นอย่างมีเหตุผล ขณะเดียวกันเมื่อพบกับปัญหา ควรหาทางออกที่เหมาะสม เพื่อสร้างความร่วมมือที่ดีในการทำงาน

5.มองโลกในแง่ดี มีความคิดเชิงบวก จะส่งผลให้สุขภาพจิต สุขภาพกายดี ความคิดโปร่งใส สุดท้ายจะตามมาด้วยความสุขและความสำเร็จ

6.ใช้ชีวิตให้สมดุล ด้วยการเดินสายกลาง อย่าทุ่มเทชีวิตให้ด้านใดด้านหนึ่ง จนด้านอื่น ๆ ขาดการดูแล รู้จักใช้ชีวิตให้สมดุล เพื่อกระตุ้นให้ชีวิตมีความสุข มีความคิดสร้างสรรค์ และมีพลังในการเรียน การทำงานต่อไป


การพัฒนาด้านอารมณ์และจิตใจ ควบคู่ไปกับ IQ นั้น ถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่การใช้ชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพ และนำไปสู่ความสำเร็จอย่างแท้จริง.



ขอบคุณไทยรีดเดอร์ดอทคอม

หนุ่ม ๆ สาว ๆ ไม่ว่าจะวัยไหนก็อยากจะมีผิวหน้าเรียบเนียน หล่อสวยใส (แต่ไม่ไร้สตินะ) ด้วยกันทุกคนแหละ หรือว่าคุณเป็นส่วนน้อยที่บอกว่าไม่เห็นด้วย เพราะฉะนั้นปัญหาเรื่องรูขุมขนใหญ่จึงเป็นสิ่งที่ใคร ๆ หลาย ๆ คนไม่อยากให้เกิดขึ้นกับตัวเอง โดยเฉพาะผู้ทีทีผิวหน้ามัทั้งหลาย วันนี้มีเคล็ดลับดี ๆ ที่จะทำให้รูขุมขนบนใบหน้าของคุณเล็กลงได้ ลองเอาไปใช้กันดูค่ะ



ลักษณะของคนรูขุมขนใหญ่ ผิวหน้าไม่สม่ำเสมอ เป็นรู ๆ อย่างเห็นได้ชัด ทำให้สิ่ง
สกปรกตกค้าง สะสม และอุดตันทำให้เกิดสิวได้ง่าย

ลักษณะของคนรูขุมขนเล็ก ผิวเรียบเนียน ไม่เป็นหลุมเป็นบ่อ สิ่งสกปรกไม่ตกค้าง


เคล็ดลับกระชับรูขุมขน
ก่อนอื่นเตรียมก้อนน้ำแข็งสะอาด เย็นเจี๊ยบสักก้อนสองก้อน และกระดาษทิชชู่เนื้อละเอียด หรือผ้าเช็ดหน้าบาง ๆ สะอาด ๆ วิธีการก็คือ

1. ทำความสะอาดผิวหน้าให้เรียบร้อย

2. เอาก้อนน้ำแข็งที่เตรียมไว้ผ่านน้ำสัก 1-2 วินาที เพื่อให้น้ำแข็งสะอาดและละลายเล็กน้อยจนผิวสัมผัสเรียบขึ้น


3. นำก้อนน้ำแข็งมาห่อด้วยกระดาษทิชชู่ สัก 3-4 ชั้น หรือผ้าบาง ๆ สัก 2 ชั้น เพื่อไม่ให้เย็นเกินไป


4. รอให้น้ำเข็งละลายพอชุ่ม ๆ แต่ไม่แฉะ เพราะน้ำจะช่วยหล่อลื่น และเพิ่มความชุ่มชื่นให้แก่ผิวด้วย


5. นำมาถูบนใบหน้าเบา ๆ จากศูนย์กลางออกไปด้านข้าว โดยเน้นบริเวณทีโซน และแก้มเป็นพิเศษ

Tips

1. ทำครั้งละประมาณ 1-2 นาที
2. ทำอย่างน้อย 2 ครั้งต่อวันคือก่อนนอน และตื่นนอนตอนเช้านะ
3. ทำสัก 3 เดือนแล้วลองสังเกตุความเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าดู



ห้ามเด็ดขาด

1. ห้ามใช่น้ำแข็งที่ออกจากตู้เย็นใหม่ ๆ สัมผัสผิวหน้าโดยตรงเด็ดขาด เพราะผิวหน้าที่บอบบางอาจจะปรับตัวไม่ทัน โดนน้ำแข็งดูดจนหน้าพองได้
2. อย่าใช้น้ำแข็งสกปรก
3. อย่ากดก้อนน้ำแข็งแรงๆ จนบี้ไปกับผิวหน้า เพราะอาจทำให้ผิวเย็น จนเกิดอาการช็อคหรือเป็นรอยได้


ขอบคุณเนื้อหาจาก womaninfocus

ผิวแห้งเป็นปัญหาหนึ่งซึ่งแตกต่างกับสาวผิวมัน คนที่มีผิวหน้ามันจะทำให้หน้าเป็นสิว ส่วนคนผิวหน้าแห้งจะทำให้เป็นฝ้าได้ง่าย และยิ่งไปกว่านี้ผิวแห้งก็เกิดจากการที่ผิวหน้าขาดน้ำมันไปหล่อเลี้ยงผิว หรือผิวไม่สามารถเก็บความชุ่มชื่นเอาไว้ได้

คนที่มีผิวหน้าที่แห้งจะมีลักษณะของรูขุมขนที่แคบ ผิวแห้งกร้าน และเกิดริ้วรอยได้ง่ายเมื่อมีอายุมากขึ้น ถ้าผิวแห้งมากก็จะทำให้เกิดผิวหน้าเป็นขุยได้ง่ายขึ้น

ยิ่งหากคุณเป็นสาวผิวแห้ง แล้วมีใบหน้าเป็นขุยอยู่บ่อยๆ ล่ะก็ อย่าเพิ่งน้อยอกน้อยใจไป เรามาลองวิธีทำให้ผิวชุ่มชื่นแบบง่ายๆ แต่ได้ผลกันดีกว่า

นำแป้งสาลี 2 ช้อนชา เกลือ 1/4 ช้อนชา และน้ำมันอัลมอนด์ 2 ช้อนชามาผสมให้เข้ากัน ทาหน้าบริเวณแห้งๆ ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น ทำสักอาทิตย์ละ 2 ครั้ง ก็จะเห็นความแตกต่างที่เห็นได้ชัด

สาวผิวแห้งที่กำลังประสบปัญหาเหล่านี้อยู่ รู้ถึงวิธีที่สามารถช่วยป้องกันผิวแห้งสาเหตุที่ทำให้เกิดผิวเป็นขุยแล้ว ก็อย่าลืมวิธีไปลองทำดูนะค่ะ จะได้มีผิวหน้าที่สวยขึ้นไร้ขุย....



ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

สำหรับท่านที่มีปัญหาใต้ตาคล้ำดำจำทนจนน่ารำคาญเวลาต้องแต่งหน้าทุกคราไปนั้น ความจริงแล้วเรื่องของใต้ตาดำคล้ำนี้มีวิธีรักษาง่ายนิดเดียว.. เคล็ดสำคัญคือต้องหาสาเหตุที่แท้จริงให้เจอกันก่อน เพราะตราบใดที่ยังแก้ที่สาเหตุไม่ได้ ไม่ว่าจะใช้เครื่องสำอางพรางตาอย่างไรก็คงไม่ได้ประโยชน์เท่าที่ควร วันนี้เราจะมาดูกันว่าใต้ตาคล้ำจะทำอย่างไรได้บ้างกันครับ

อย่าเพิ่งไปคิดว่าเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญวุ่นวายขนาดต้องไปยิงเลเซอร์หรือลอกหน้าลอกตา เรามาเริ่มพิจารณาสาเหตุก่อน ซึ่งมีอยู่หลายเหตุ แบ่งเป็นได้เป็นสองสาเหตุหลัก ได้แก่

สาเหตุภายใน ประกอบด้วย อายุที่มากขึ้นทำให้ผิวใต้ตาบางลงและหลวมขึ้น, การใช้สายตาเป็นระยะเวลานาน, โรคไซนัสและโพรงจมูกอักเสบจากภูมิแพ้เรื้อรัง (นี่เป็นเหตุว่าทำไมคนเป็นภูมิแพ้ถึงมักมีใต้ตาคล้ำทั้งที่ไม่ได้อดนอนเสมอไป)

สาเหตุภายนอก ประกอบด้วย “แสงแดดและบุหรี่” ซึ่งเป็นสูตรสำเร็จที่ทำให้ผิวแก่อย่างประสบความสำเร็จที่สุดมาตลอดกาล

เทียบกันแล้ว ปัจจัยภายนอกหาจังหวะเลี่ยงได้ง่ายกว่า แต่ปัจจัยภายใน ถ้าบางท่านรู้ตัวเองได้เร็วก็จะดีมาก เช่น เรื่องของภูมิแพ้ขึ้นจมูกสั่งน้ำมูกกันครืดคราดกระดาษเปลืองนั้น อย่าปล่อยไว้ให้เป็นนานครับ เพราะยิ่งภูมิแพ้นานเท่าใดก็จะยิ่งทำให้เป็นไซนัสอักเสบได้ง่ายขึ้นเท่านั้น

ส่วนเรื่องของความแก่หรืออายุที่มากขึ้นทำให้ผิวหนังบางลงนั้นอาจจะเป็นเรื่องที่แก้ยากขึ้นมาอีกสักนิด โดยเฉพาะท่านที่มีปัญหาใต้ตาคล้ำอยู่แล้ว
ดังนั้น การปฏิบัติตัวที่สำคัญที่ช่วยได้มากจริงๆ ก็คือหลัก “3 อ” ครับ เริ่มจาก...

1) อาหาร ที่สำคัญคือกลุ่มวิตามินซี เพราะอย่าลืมว่าหนังรอบดวงตาที่ยิ่งแก่ตัวยิ่งหลวมขึ้นนั้นเกิดจาก “โครงกระดูกของผิว” หายไป ซึ่งโครงนั้นที่สำคัญก็คือคอลลาเจนครับ ยิ่งมีคอลลาเจนมากยิ่งทำให้ผิวคุณไม่อ่อนยวบหลวมไปราวกับไก่ถูกถอดกระดูก อาหารวิตามินซีที่ควรกินมากได้แก่ ฝรั่ง (ฝรั่งหนึ่งขีดให้วิตามินซีราว 200 มิลลิกรัมครับ) วันละ 4 ขีด นอกจากนั้นก็ยังมีแหล่งของวิตามินเอที่ช่วยรักษาผิวที่ควรกินคือ มะเขือเทศผลเล็กสักวันละ 10 ผล หรือถ้าผลใหญ่ก็จะเป็น 5 ผล ส่วนแหล่งวิตามินอี ที่มีผลต่อความชุ่มชื่นรอบตานั้นก็คือถั่วต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นถั่วลิสง, เมล็ดทานตะวัน, เมล็ดฟักทองหรือน้ำมันพืชส่วนใหญ่

2) ออกกำลังกาย จะช่วยขับล้างพิษอนุมูลอิสระและน้ำส่วนเกินออกไปไม่ให้คั่งรอบดวงตา และที่สำคัญยังช่วยเสริมภูมิคุ้มกายไม่ให้เป็นไซนัสคัดจมูกน้ำมูกอุดตันได้ด้วย

3) อารมณ์ ประการนี้สำคัญ ไม่นานมานี้ ผมมีโอกาสไปพูดเรื่องทางออกของความเครียดในรายการ “ตาสว่าง” ของคุณ สัญญา คุณากร ก็ได้พูดกันถึงสัญญาณหนึ่งของอารมณ์เครียดว่าทำให้หน้าดำคล้ำ ใต้ตาดูหมองไปไม่สดใสอิ่มเอิบ เพราะเมื่อเครียดมากก็มักจะอดนอนและก็มีสนิมอนุมูลอิสระมากขึ้น ทำลายให้ผิวโดยรวมแก่ลงไปมีขยะเม็ดสีคล้ำมาจับมากขึ้นทำให้หน้าหมองดั่งต้องราคีมากขึ้น ดังนั้นวิธีง่ายๆ ในข้อนี้คือให้เข้านอนตั้งแต่สี่ทุ่มและตื่นหกโมงเช้าอย่างสม่ำเสมอครับ จะทำให้ฮอร์โมนหนุ่มสาวหลั่งออกมาเองและไม่แก่เร็วด้วยครับ

ส่วนวิธีอื่นที่ช่วยลดใต้ตาหมองคล้ำแบบทันใจ ยังมีการใช้ “ความเย็นประคบลบรอยใต้ตา” ไม่ว่าจะเป็นถุงชาแช่เย็น, สำลีชุบนมเย็น (ซึ่งก็ไม่ต้องใส่พร้อมถุงชาเพราะจะกลายเป็นชาเย็นไป), มันฝรั่งฝานแช่เย็น, แตงกวาฝานแช่เย็น หรือแม้แต่หลังช้อนเย็นก็ตาม นำมาวางทับบนหนังตา ไม่ต้องไปกด ไปเค้น อาจนวดเบาๆ ให้เลือดดำรอบตาถ่ายออกไปไหลเวียนได้ดีขึ้นครับ

ความเย็นจะช่วยหดหลอดเลือดลง ทำให้เลือดดำไม่ไปคั่งรอบตาให้ดูคล้ำดำจำทนทุกข์เหมือนเดิมอีก
สิ่งที่อยากฝากไว้ก็คือว่าควรจะหาสาเหตุที่แท้จริงของใต้ตาดำคล้ำให้เจอด้วยครับ เพราะจะช่วยให้การลบตาคล้ำเป็นไปได้อย่างง่ายดายและไม่กลับมาเป็นใหม่อีก

สุดท้ายนี้สำหรับท่านผู้อ่านที่รัก หากมีคุณสมบัติครบที่จะพบกันเป็นชมรมคนตาคล้ำเช่นว่านี้แล้วล่ะก็ ขอให้จำขึ้นใจไว้ง่ายๆ ครับว่า “เสริมวิตามินซี มีออกกำลังกาย คลายอารมณ์เครียด” เป็นเคล็ดที่ใช้ได้อย่างแท้จริงและยั่งยืนที่สุดครับ






ขอขอบคุณข้อมูล : ฟอร์เวิร์ดเมลล์

ส่วนผสมสำหรับ 1 หน้า
1. สตรอเบอร์รี่ 2 ลูก
2. แตงกวาผ่าครึ่ง 1 ซีก
3. น้ำมะนาว 1 ช้อนชา
4. น้ำขิงสดควรคั้นจากราก

นำส่วนผสมทั้งหมดมามิกซ์รวมกัน โดยอาจนำเข้าเครื่องปั่น เมื่อส่วนผสมเข้ากันดีแล้วให้นำมาพอกทั่วทั้งใบหน้า ยกเว้นบริเวณรอบดวงตาเป็นเวลาประมาณ 10 นาที อาจรู้สึกแสบนิดๆ แต่ถ้าแสบมากมายให้รีบล้างออกทันที ถ้าไม่เป็นไรเมื่อทิ้งไว้ครบ 10 นาทีแล้วให้ล้างออก อาจทำเป็นประจำสัปดาห์ละครั้งหน้าก็จะเกลี้ยงเกลา เบา สบายใจ สาวหน้าใสทุกคน
งานเสริมทำออนไลด์ผ่าน net 100% รายได้ 5 หมื่น บ/ด ขั้นต่ำ ขอย้ำว่าขั้นต่ำ สมัครที่ www.abc.321.cn


ที่มา :
หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

ช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดในการดูแลเล็บคือหลังอาบน้ำ เพราะอะไรน่ะหรือคะ ก็เพราะเป็นช่วงที่เล็บของคุณสะอาดและอ่อนนุ่มที่สุดนั่นเอง ส่วนขั้นตอนอื่นๆที่สำคัญเพราะ ถ้ามือและเท้าของเราสะอาดและมีสุขภาพดีแล้วล่ะก็ จะทาเล็บสีอะไรหรือเพ้นต์เล็บลายอะไรก็ดูดีแน่นอนค่ะ ก่อนอื่นแนะนำให้รักษาความสะอาดของอุปกรณ์ทำเล็บทุกชนิดและน้ำยาทาเล็บให้คงทนถาวรได้อีกนานเท่านานค่ะ


น้ำยาเติมยาทาเล็บ ซึ่งใช้เพื่อช่วยให้ยาทาเล็บไม่ข้นเกินไปนั้น ถ้าเก็บไว้ในตู้เย็นจะช่วยให้เก็บไว้นานขึ้น


ไม่ควรใช้น้ำยาล้างยาทาเล็บเกินกว่าอาทิตย์ละครั้ง เนื่องจากจะทำให้เล็บแห้งและแตกง่าย


Sealer หรือ Top Coat ยาเคลือบเงาเล็บเป็นน้ำยาที่ใช้ทาทับยาทาเล็บอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งคุณสามารถใช้ยาทาเล็บแบบสีใสชนิดใดก็ได้มาทาเพื่อการนี้ ซึ่งจะช่วยลดการกร่อนและแตกของเล็บได้ คุณสามารถใช้ยาทาเล็บใสนี้ได้ทุกวันเพื่อช่วยป้องกันและคงความชุ่มชื่นให้เล็บ


เล็บที่แต่งด้วยยาทาเล็บเป็นประจำทำให้เล็บมีสีเหลือง ดังนั้นลองแช่นิ้วมือและเท้าในน้ำมะขามที่ผสมน้ำทิ้งไว้สักครู่ประมาณ 10 นาที แล้วล้างออก หรือจะใช้มะนาวฝานมาถูเล็บบ่อยๆ ก็ได้ผลเช่นเดียวกัน


ควรทาครีมหรือโลชั่นเพื่อช่วยชดเชยความชุ่มชื้นให้แก่เล็บและมือของคุณที่เสียไป เพราะฤทธิ์ของสบู่และน้ำยาล้างมือ การใช้ครีมที่ให้ความชุ่มชื่น เช่น วาสลีนจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้ นอกจากหลังล้างมือแล้วคุณควรทาก่อนนอนอีกด้วย



ยาทาเล็บคราบสกปรกหรือแม้แต่เชื้อแบคทีเรียอาจฝังอยู่บนเล็บ เป็นรอยเลอะๆ ทำความสะอาดได้ด้วยการใช้สำลีชุบไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (น้ำยาล้างแผล) บีบลงตามซอกเล็บทิ้งไว้สักครู่ สิ่งสกปรกจะลอยออกมาอย่างง่ายดาย แล็วใช้ไม้พันสำลีเล็กๆ เช็ดออกคุณก็ไม่ต้องแคะซอกเล็บให้เจ็บนิ้ว หรือจะใช้น้ำสบู่และแปรงสีฟันขัดออกขณะอาบน้ำก็ได้ แล้วหลังจากนั้นอย่าลืมทาครีมบำรุงเล็บด้วย

ลองใช้ส่วนผสมต่อไปนี้ที่หาได้ในบ้านของคุณเอง เพื่อเป็นเจ้าของผิวสวยเปล่งปลั่งอย่างที่คุณปรารถนา

1. น้ำตาลทราย ใช้น้ำตาลทรายผสมกับน้ำมันมะกอก เพื่อขัดผิว เกล็ดน้ำตาลทรายจะช่วยขัดลอกเซลล์ผิวเก่าและทำให้ผิวนุ่มขึ้น ขณะที่น้ำมันมะกอกจะทำให้ผิวชุ่มชื่น

2. ข้าวโอ๊ตและนม ผสมข้าวโอ๊ตกับนมแบบไม่พร่องมันเนยทาให้ทั่วใบหน้าและปล่อยให้แห้งราว 10-15 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด

3. โยเกิร์ต ทาโยเกิร์ตแบบธรรมชาติลงให้ทั่วใบหน้าทิ้งไว้ 15 นาที ไม่เพียงแต่ผิวจะรู้สึกสดชื่น มันยังทำให้ผิวของคุณนุ่มนวลและเรียบลื่นอีกด้วย

4. กล้วยหอม บดให้ละเอียดและผสมกับนมสด ทาทั่วใบหน้าและทิ้งไว้ 20 นาที ล้างออกด้วยน้ำเย็น แล้วรอดูผิวที่เปล่งปลั่งได้เลย

5. น้ำผึ้ง ทาให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น ผิวคุณจะนุ่มนวลและเปล่งปลั่ง

6. ไข่ ผสมไข่ดิบกับน้ำผึ้ง ทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น

7. มะละกอ บดละเอียดแล้วพอกลงบนใบหน้า ทิ้งไว้ 15 นาทีแล้วล้างออก

8. แป้งข้าวโพด ผสมกับไข่ขาวและทาทั่วใบหน้าเมื่อใบหน้าแห้ง ซึ่งใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมง ใช้นิ้วจุ่มน้ำอุ่นและนวดให้ทั่ว ก่อนล้างออกด้วยน้ำสะอาด

วันอาทิตย์
ท่านที่เกิดวันอาทิตย์ ท่านเป็นธาตุไฟตามดวงอาทิตย์ ผมของท่านควรจะหยิกหยักโศกเล็กน้อย ตามลักษณะของธาตุไฟ ส่วนการทำสีผมที่ใช้ไม่ควรเป็นสีดำสนิท ควรทำผมเป็นสีน้ำตาลหรือออกไปในแนวโทนสีแดงก็จะทำให้ท่านดูเด่น และสามารถเพิ่มพลังของธาตุกำเนิดของท่านให้มีความเป็นโชคลาภได้ หรือการทำผมซอยสั้นๆและชี้ๆก็ดีเหมือนกัน นอกจากนี้ท่านไม่ควรไว้ผมยาวมากจนเกินไปนัก หรือการทำผมเป็นลอนคลื่นเหมือนน้ำ จะไปหักล้างพิฆาตกันเองของธาตุน้ำและธาตุไฟ ทำอะไรจะติดขัดไม่ราบรื่น



วันจันทร์

ท่านที่เกิดวันจันทร์ ท่านเป็นธาตุดินใกล้น้ำเหมือนดวงจันทร์ผมของท่านน่าจะเป็นลักษณะที่เรียบตรงง่ายๆ ถ้าท่านเป็นคนที่ผมหยิกหยักโศกโดยกำเนิดก็ควรไปเหยียดให้ตรงจะดีกว่า หรือถ้าจะดัดผมบ้างก็ขอแบบนิดหน่อย



สีผมควรเป็นดำหรือสีเข้มๆ ควรให้ผมยาวในระดับที่ดูดีหรือทำเป็นผมม้าเลยก็ได้ ก็จะไปส่งเสริมเพื่มพูนกระแสธาตุดินอันเป็นธาตุกำเนิดของท่านให้มีความเป็นโชควาสนา ทำการใดๆก็ราบรื่น นอกจากนี้ท่านไม่ควรทำผมแบบลูกคลื่น เพราะเป็นลักษณะของธาตุน้ำที่บางทีจะพิฆาตกัน จะทำให้ท่านติดขัดไม่ราบรื่น


วันอังคาร

ท่านที่เกิดวันอังคาร ท่านเป็นธาตุลมตามธาตุแห่งดาวอังคาร ผมของท่านควรออกไปในแนวที่สามารถพริ้วไหวได้ ยิ่งเวลาที่เดินแล้วมีการกระเพื่อมไหวได้เล็กน้อยยิ่งดี ก็จะโบกไหวแสดงความเป็นพลังของวาสนาออกมาให้เกิดความเป็นโชคลาภ หรือท่านอาจจะตัดผมแบบทรงผมตั้งๆก็ดีเหมือนกัน ผมตั้งนั้นเป็นลักษณะธาตุไฟ ตามหลักถือว่าลมให้กำเนิดไฟและเกื้อกูลกัน
สีผมก็ควรจะออกแนวแดงหรือน้ำตาลหรือสีทองส่วนผมทรงเรียบๆหรือการเกล้ามวยซึ่งเป็นธาตุดินจะหักล้างพิฆาตธาตุลม ท่านมักจะทำงานติดขัดไม่ราบรื่น
วันพุธ

ท่านที่เกิดวันพุธ ท่านเป็นธาตุน้ำโดยกำเนิดตามดาวพุธ ทรงผมควรดูฉ่ำ หรือมีการใส่ เจลหรือใส่น้ำมัน ทรงผมควรเป็นคลื่นเล็กน้อย ถ้าท่านผมตรงก็ควรไปดัดให้เป็นลอนบ้าง การทำสีผมก็ทำได้ทุกสี แต่ก็ไม่ควรไว้ผมยาวจนเกินไป ทรงผมควรปัดซ้ายหรือขวาก็จะเหนี่ยวนำความเป็นโชคลาภและเรื่องดีๆเข้ามาในชีวิต
โดยปรกติผู้เกิดวันพุธจะสามารถทำได้เกือบทุกทรงผม
ยกเว้นลักษณะที่ทำผมชี้ขึ้นหรือแบบตั้งซึ่งเป็นแบบธาตุไฟ จะไปหักล้างกับธาตุของท่าน การไว้ผมปิดหน้าผากไม่ดีนักสำหรับท่าน เพราะเหมือนไปปิดประตูแห่งโชคลาภเช่นกัน

วันพฤหัสบดี

ท่านที่เกิดวันพฤหัส ท่านเป็นธาตุดินแข็งตามธาตุกำเนิดแห่งดาวพฤหัส ทรงผมที่ดีควรราบเรียบไม่ชี้หรือฟูจนเกินไป ท่านควรจะเกล้ามวยให้เรียบร้อย ทรงผมควรเปิดหน้าผากให้เต็มที่หรือแบบเสยไปด้านหลัง ก็จะทำให้ท่านดูเด่นเป็นสง่า เหนี่ยวนำความดีและโอกาสดีๆเข้ามาในชีวิต





ส่วนการทำสีผมจะทำเป็นสีอะไรก็ได้ เพราะไม่ค่อยมีผลกับตัวท่าน แต่หากจะให้ดีควรทำผมสีเข้มไว้จะดีกว่าสีที่ออกโทนอ่อนๆ ผมที่หยิกหยักโศกมากไม่ดีนัก หรือผมที่มีลักษณะยาวจนถึงกลางหลังก็ไม่ค่อยดีนัก จะหักล้างสิ่งที่ดีไม่ให้เข้ามา

วันศุกร์

ท่านที่เกิดวันศุกร์ ท่านเป็นธาตุน้ำทะเลกว้างตามธาตุกำเนิดแห่งดาวศุกร์ ทรงผมที่ดีควรเป็นลอนคลื่นค่อนข้างใหญ่ หรือหยิกหยักโศกก็ยิ่งดีมาก ผมควรจะปัดซ้ายหรือขวา ไม่ควรจะเป็นเส้นตรงจนเกินไปนัก ถ้าจะไว้ผมทรงสั้นก็ควรให้แลดูเป็นคลื่นปิดหน้าผากบางส่วน ทรงผมเหล่านี้จะทำให้ท่านขับความเป็นตัวของท่านเองตามลักษณะของดาวประจำวันเกิดธาตุน้ำ
การทำสีผมทำสีอะไรก็ได้ยกเว้นสีแดง และการทำผมแบบตั้งชี้ไม่ค่อยดีนักต่อท่าน เพราะจะทำให้ท่านถูกอำนาจแห่งธาตุไฟหักล้างกระแสดีๆที่จะเหนี่ยวนำเข้ามาในชีวิต


วันเสาร์
ท่านที่เกิดวันเสาร์ ท่านเป็นธาตุไฟแบบไฟป่าตามกำเนิดธาตุแห่งดาวเสาร์ ทรงผมที่ดีควรแลดูไม่เรียบแบนจนเกินไป หยิกหยักโศกบ้างจะยิ่งดีใหญ่ ทรงผมต้องไม่สั้นและไม่ยาวจนเกินไปนัก ผมลักษณะที่มีการตั้งชี้หรือฉีกเป็นเส้นตรงด้านหน้าหรือท้ายทอยก็ใช้ได้
ส่วนสีผมควรใช้โทนสีแดงก็จะทำให้ส่งพลังที่ดีออกมา ทรงเหล่านี้จะทำให้เสริมส่งความเป็นตัวของท่านเองตามแม่ธาตุกำเนิดแห่งดาวเสาร์ ส่วนการทำผมสีทองหรือการดัดเป็นลอนคลื่นใหญ่มาก จะไม่ค่อยดีนักแก่ท่านเพราะไปหักล้างเหมือนน้ำไฟ ทำให้ท่านติดขัดได้

รูปหน้าของคุณเป็นแบบไหน และจะบ่งบอกถึงอะไรบ้างมาดูกันดีกว่า
รูปหน้ากลม

หญิงที่มีลักษณะใบหน้ากลม จะมีความเป็นผู้หญิงมากที่สุด อีกทั้งยังบ่งบอกถึงความสามารถเป็นเยี่ยมในด้านการทำงาน



รูปหน้ายาว

เป็นรูปหน้าที่แต่งหน้าให้สวยงามได้ง่าย ใบหน้ารูปนี้เป็นลักษณะของคนที่ชอบออกงานสังคม ทำงานตำแหน่งสูง



รูปหน้าหัวใจ

ถ้าเป็นหญิงจะมีความอ่อนหวาน สามารถเข้ากับผู้คนได้ง่าย และเข้าใจความรู้สึกของตนเองได้ยอดเยี่ยม
รูปหน้าลูกแพร์

เป็นลักษณะที่โดดเด่นไปด้วยพลัง ดังนั้นจึงเหมาะสำหรับนักการเมือง นักแสดง เพราะเป็นผู้ที่มีไฟของการทำงานเป็นเลิศ



รูปหน้าเหลี่ยม

เป็นผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็ง มีความคิดสร้างสรรค์ สามารถที่จะทำงานเลี้ยงตัวเอง และครอบครัวได้ด้วยลำแข้งของตัวเองไม่พึ่งพาใคร



รูปหน้าไข่

หญิงใบหน้ารูปไข่จะมีความงดงามมาก มีความนุ่มนวล น่าทะนุถนอม รักสวยรักงาม เอาใจคนอื่นเก่ง และเนื่องจากเธอมีความกระตือรือร้นไม่หยุดนิ่ง จึงมีผลทำให้เธอมีชีวิตที่แสนตื่นเต้นได้อยู่เสมอ

มีหลายตำราพูดถึงการทำทรงผมให้ถูกโฉลกกับราศี แต่ถ้าเกิดทำทรงผมตามตำราเป๊ะแต่ไม่เข้ากับหน้าตาเราเล้ย.. ทำออกมาเหมือนถูกจับให้ใส่วิก ถ้าต้องเลือก เราจะเลือกอะไรระหว่าง "สวยแต่ผิดโหงวเฮ้ง ชีวิตอาจไม่รุ่งเรือง เกรดตกแฟนทิ้ง" กับ "ขี้เหร่ซะไม่มี แต่ถูกหลักโหงวเฮ้งเป๊ะ เผลอ ๆ อาจถูกหวยรางวัลที่ 1" ฮ่า ฮ่ากำลังคิดหนักหล่ะสิ หยุด! ไม่ต้องคิดแล้ว คราวนี้เรามี Tricks การแต่งผมให้ดูดีและถูกหลักโหงวเฮ้งก็มีมาให้อ่านเหมือนกัน คราวนี้เตรียมตัวมีชีวิตรุ่งโรจน์ เกรดพุ่ง ถูกหวยทุกงวด ที่สำคัญสวยแจ่มเกินใคร!!

ตามลัคนาราศีมังกร : ต้องบ๊อบคลาสสิคเท่านั้น
ถ้าให้ไว้บ๊อบทั้งปีทั้งชาติ เซ็งตายเลย ลองอย่างนี้ดูซิ ตัดบ๊อบสั้นเท่าติ่งหู ให้แลดูเป็นสาว ม.ต้นวัยกระเตาะ แต่ใส่ลูกเล่นด้วยการซอยไล่ระดับ ให้ความยามของผมแตกต่างกัน วันไหนอยากหวานก็ไดร์ตรง วันไหนอยากเปรี้ยวจี๊ด ก็ใส่เจลเซ็ทให้ชี้โด่ชี้เด่ หรือขยี้ให้ยุ่งก็ดูน่ารักไปอีกแบบ




ตามลัคนาราศีกุมภ์ : เหมาะกับผมทุกแบบ
ชอบริเริ่มอะไรใหม่ ๆ ถึงจะเหมาะกับทรงผมทุกแบบ แต่ก็อย่าลืมใส่ลูกเล่นให้ผม เพื่อเพิ่มความเด่นสะดุดตา อย่างเช่น ทำสีหรือไฮไลท์ด้วยสีแปลก ๆ




ตามลัคนาราศีมีน : บ๊อบธรรมดา
กรี๊ด.. ผมบ๊อบอีกแล้ว น่าเบื่อจริง นี่กะจะให้สาวทั้งเมือง ไว้ผมทรงบ๊อบกันหมดเลยหรือไง จำเจที่สุด! เดินเข้าร้านแล้วสั่งช่างให้แอบ ซอยสไลต์ปลายผม ทั้งด้านข้างและด้านหลังให้ด้วย ขืนทำผมตรง ๆ ทื่อ ๆ ตามตำราเค้าบอกก็เชยแย่ จริงมั๊ย!??




ตามลัคนาราศีเมษ : ผมซอยสั้น
ตายหล่ะ ถ้าคนหน้าบานซอยผมสั้น หน้าไม่ยิ่งบานแข่งกับทุ่งทานตะวันที่ลพบุรีเหรอ เพราะฉะนั้นใครรู้ตัวว่าโครงหน้าไม่เอื้ออำนวย ลองเลือกผมซอยสั้น แต่สไลด์ปลายผม ให้อำพรางหน้าด้านข้างซักหน่อยสิ คนราศีนี้เป็นคนที่มีความมั่นใจสูง ผมซอยสั้นน่ะ เหมาะที่สุดแล้ว




ตามลัคนาราศีพฤศษ : ผมซอยประต้นคอ
หลายคนบอกว่า ผมซอยยาวประต้นคอน่ะ เป็นทรงผมที่แสนจะเชย แถมยังจ้องจะเป็นผมเป็ดทุกเช้า ดูแลยากจัง แต่ความจริงแล้วผมทรงนี้น่ะ Sexy อย่าบอกใครเลยรู้มั๊ย ลองเซ็ทให้เข้ารูปสักนิดนึง ถ้าผมลงมาปรกหน้าก็ใช้สองมือจริตเล็กน้อย เสยกลับไปข้างหลัง ดูมีเสน่ห์จนหนุ่มเหลียวเลยหล่ะ แต่อย่าเสยบ่อยนัก เพราะจาก Sexy จะกลายเป็นน่ารำคาญไปซะก่อน


ตามลัคนาราศีเมถุน : ผมที่ดูเป็นธรรมชาติ
งงหล่ะสิ ผมอะไรที่ดูเป็นธรรมชาติ? ผมทรงตื่นนอนรึเปล่าถึงดูธรรมชาติสุด ๆ ??? ม่ายช่าย!!! ขืนทำทรงนั้น คงสวยตายหล่ะ ลองทำทรงผมธรรมชาติ ๆ

ตามลัคนาราศีกรกฎ : ผมยาว
ยะฮู้! สาวกรกฎ เป็นสาวที่โชคดีที่สุด เพราะผมยาวน่ะ สามารถทำผมได้หลายแบบ ทั้งรวบรัด มัด เกล้า หยิก ตรง ฟู เรียบ ๆ สารพัด เรียกว่า เปลี่ยนได้ทุกวัน เพราะสาวราศีนี้น่ะ เป็นสาวขี้เบื่ออยู่แล้ว
ตามลัคนาราศีสิงห์ : ผมเปิดหูและหน้าผาก
ทรงผมที่เปิดหูเปิดหน้าผากมีหลายแบบ อย่างไว้ยาวแล้วรวบหางม้า ตัดสั้นแล้วเสยเปิดหน้าผาก หรือแม้แต่ปล่อยผมปกบ่า หรือคาดผมให้กลายเป็นสาวหวาน เห็นม๊ะ สาวราศีสิงห์มีทางเลือกเยอะจะตาย




ตามลัคนาราศีกันย์ : ผมทรงเรียบและเนี๊ยบ
สาวกันย์เป็นคนค่อนข้างเจ้าระเบียบ ถูกต้องแล้วที่ทรงผมตามโฉลกจึงต้องเรียบร้อย อยู่โรงเรียนเป็นเด็ก แต่งตัวถูกกฎระเบียบติดกิ๊บดำถูกต้อง แต่เมื่อไหร่อยากเปรี้ยว ง่ายนิดเดียว เอากิ๊บดำออกมาแล้วใส่มูสนิดหน่อย ออกแนว Wet Look แค่นี้ก็ดู Sexy ขึ้นเป็นกองแล้ว




ตามลัคนาราศีตุลย์ : ผมซอยสั้น
ผู้หญิงราศีตุลย์จะออกแนวแก่นเซี้ยว เปรี้ยวซ่า ผมซอยสั้นน่ะ เหมาะสุด ๆ เพราะไม่ต้องดูแลอะไรมากมาย แต่ถ้าอยากดูทันสมัยลองเพียงใส่มูสหรือเจล จัดทรงนิดหน่อย แค่นี้ก็สวยซนแล้วหล่ะ




ตามลัคนาราศีพิจิก : ผมไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับอารมณ์
โอ๊ะ.. โอ สาวพิจกดูแปลกกว่าสาวราศีอื่น คงเพราะมีอารมณ์ที่แปรปรวนอยู่ตลอดเวลา ทรงผมจึงเปลี่ยนปลงได้ตลอด จากผมยาวสลวยเหมือนนางแบบยาสระผม อาจจะกลายเป็นผมสั้นจู๋ สาวราศีนี้เป็นที่ถูกอกถูกใจร้านเสริมสวยนักแหล่ะ




ตามลัคนาราศีธนู :
ผมสั้นลงมาปิดหน้าเล็กน้อย
ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมสาวราศีธนูต้องทำผมลงมาปิดหน้า แต่เอาเถอะเชื่อไว้บ้างก็ไม่ผิดอะไร ดีซะอีก จะได้ใช้ผมช่วยปิดบังแก้มย้อย ๆ ที่เราไม่ต้องการ ดังนั้นสาว ๆ ราศีธนูจึงสามารถทำผมได้ทุกทรง ขอแค่ให้มีบางส่วนมาปิดบังใบหน้าเอาไว้ก็พอ

ท่านอนแต่ละท่า มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไร? (อสมท)

หากเอ่ยถึงการนอนหลับลึกด้วยวิธีการคลายเกร็ง (Relaxation) ตามแบบฉบับชาวชีวจิตแล้ว หลาย ๆ คนอาจพยักหน้ารู้จัก และปฏิบัติกันเป็นอย่างดี แต่หากพูดถึงท่านอนที่คุณนอนในยามค่ำคืนแล้ว อาจมีหลายคนที่ส่ายหน้า เพราะไม่เคยสังเกต หรืออาจเปลี่ยนท่านอนกันบ่อยในแต่ละคืน

แต่คุณทราบหรือไม่ว่า ท่านอนแต่ละท่ามี ข้อดีและข้อเสียอย่างไร แล้วหากท่านั้นเป็นท่านอนประจำตัวคุณเสียแล้วจะต้องปรับเปลี่ยนท่านอนกันอย่างไรนั้น เกร็ดสุขภาพฉบับนี้มีคำแนะนำดีๆ จาก นายแพทย์ วรวุฒิ เจริญศิริ ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพ มาฝากกันค่ะ

นอนหงาย

โดยปกติแล้วคนทั่วไปนิยมนอนหงาย ถือได้ว่าเป็นท่านอนมาตรฐาน เวลานอนหงายโดยไม่หนุนหมอนหรือใช้หมอนต่ำ ต้นคอจะอยู่ในแนวเดียวกันกับลำตัว ไม่ปวดคอ แต่ถ้าหนุนหมอนสักสองสามใบ คอจะก้มโน้มมาข้างหน้า ทำให้เกิดอาการปวดคอได้

ผู้มีอาการดังต่อไปนี้ควรหลีกเลี่ยงการนอนในท่านอนหงาย หรือแก้ไขตามคำแนะนำ ดังนี้

ผู้ป่วยโรคปอด ไม่เหมาะที่จะนอนท่านอนหงาย เพราะทำให้กล้ามเนื้อกระบังลมที่คั่นระหว่างช่องอก และช่องท้องกดทับเนื้อปอดเป็นเหตุให้หายใจลำบาก แต่สามารถแก้ไขได้ โดยการยกส่วนบนของร่างกายให้สูงขึ้นในลักษณะครึ่งนอนครึ่งนั่ง อาจจะใช้หมอน 2 - 3 ใบวางหนุนรองหลังไว้ หรือยกพื้นเตียงส่วนบนให้สูงขึ้นพอประมาณ

ผู้ป่วยโรคหัวใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะหัวใจล้มเหลวหรือหัวใจวาย จะมีอาการนอนราบไม่ได้ ทั้งนี้เนื่องจากไม่สามารถสูบฉีดโลหิตออกจากห้องหัวใจ ได้ก่อให้เกิดอาการหอบ และหายใจติดขัด ผู้ป่วยโรคหัวใจจึงมักต้องลุกขึ้นนั่ง หรือยืนตอนกลางคืนเพื่อที่จะหายใจได้สะดวกมากยิ่งขึ้น

ผู้ที่มีอาการปวดหลัง การนอนหงายในท่าราบจะทำให้อาการปวดรุนแรงขึ้น เวลานอนควรใช้หมอนหนุนรองใต้โคนขา หรือวางพาดขาทั้งสองไว้บนเตียงนอน รวมทั้งควรออกกำลังกายเป็นประจำวันละ 10 - 15 นาที เพื่อช่วยบริหารกล้ามเนื้อหลังลดการเกร็งตัว และบรรเทาอาการปวดหลังได้เป็นอย่างดี

นอนตะแคง

ท่านอนตะแคงซ้าย เป็นท่านอนที่ช่วยลดอาการปวดหลังได้พอสมควร แต่ควรกอดหมอนข้างและพาดขาไว้ ข้อเสียคือทำให้หัวใจ ซึ่งอยู่ด้านซ้ายทำงานลำบากขึ้น และอาหารในกระเพาะที่ยังย่อยไม่หมดตั้งแต่ก่อนเข้านอนจะคั่งค้างอยู่ในกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดลมจุกเสียดที่บริเวณลิ้นปี่ และอาจรู้สึกชาที่ขาซ้ายหากนอนทับเป็นเวลานาน หรือถ้าหนุนหมอนต่ำเกินไปจะทำให้ปวดต้นคอได้ แก้ไขโดยใช้หมอนสี่เหลี่ยมที่มีความสูงเท่าความกว้างของบ่าซ้ายหนุนนอน

ท่านอนตะแคงขวา เป็นท่านอนที่ดีที่สุด ถ้าเทียบกับการนอนหลับในท่าอื่นๆ เพราะหัวใจเต้นสะดวกและอาหารจากกระเพาะถูกบีบลงลำไส้เล็กได้ดี ทำให้ไม่คั่งค้างอยู่ในกระเพาะอาหารนานเกินไป และเป็นท่านอนที่ช่วยบรรเทาอาการปวดหลังได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ ท่านอนตะแคงทั้งตะแคงซ้าย และขวาช่วยลดเสียงกรนได้ ในผู้ที่กรนจากการอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบน เช่น ลิ้นไก่ยาว โคนลิ้นหนา ต่อมทอนซิลโตมาก หรือโพรงจมูกอุดตัน


นอนคว่ำ

ท่านอนคว่ำทำให้หายใจติดขัดไม่สะดวก โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีเต้านมใหญ่หรือสำหรับผู้ชาย การนอนคว่ำก็อาจทำให้อวัยวะเพศถูกทับอยู่ตลอดเวลา จนเกิดอาการชาของอวัยวะเพศได้

การนอนคว่ำยังทำให้ปวดต้นคอ เนื่องจากต้องเงยมาข้างหลัง หรือบิดหมุนไปข้างซ้ายหรือขวานานเกินไป ดังนั้น ถ้าจำเป็นต้องนอนคว่ำ ควรหาหมอนรองใต้ทรวงอก โดยเฉพาะถ้าต้องการอ่านหนังสือในท่านอนคว่ำ ทั้งนี้เพื่อช่วยไม่ให้เมื่อยกล้ามเนื้อคอ และไม่มีอาการปวดคอ

นอกจากนี้ ความเชื่อแต่โบราณที่เคยเข้าใจว่า ทารกควรให้นอนคว่ำรูปหัวจะทุยสวย ไม่แบน แต่ปัจจุบันพบว่าจริงๆ แล้วอาจเกิดผลเสียได้ ทารกมีโอกาสเสียชีวิตเนื่องจากหายใจไม่ออกจากการที่จมูกหรือปากถูกทับไว้

นอกจากคุณจะเลือกนอนให้ถูกท่าเพื่อสุขภาพแล้ว ต้องรู้จักการนอนหลับลึกหลับสนิท ซึ่งช่วยให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่และถือเป็นวิธีส่งเสริม "ภูมิชีวิต" อีกทางหนึ่ง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
MCOT.NET

สวยมั่นให้มีสไตล์ (Lisa )


ผู้หญิงทุกคนอยากให้ทรงผมดูดี มีสไตล์ มีรูปทรงที่สวยงาม แต่ในความเป็นจริงเมื่อส่องกระจกก็เหมือนฝันร้ายเพราะผมดูลีบติดหนังศีรษะทำให้หน้าตาไม่แจ่มใสไปด้วย แต่ด้วยเทคนิคต่อไปนี้ คุณจะได้ทรงผมเข้ารูปสวย มีโวลุมเหมือนออกมาจากร้านทำผมใหม่ๆ เชียวล่ะ

1.ผมดูหนาขึ้นด้วย เครื่องม้วนผมไฟฟ้า

สาวผมยาวและครึ่งสั้นครึ่งยาวมักมีปัญหาผมลีบเร็ว ไม่อยู่ทรงดูหนาสวยตลอดวัน จึงควรใช้เครื่องม้วนผมไฟฟ้าจัดแต่งผมให้มีรูปทรง โดยม้วนปอยผมกับเครื่องม้วนผมไฟฟ้า ปล่อยให้อุ่นสักครู่แล้วจึงคลายออก แต่ถ้าเป็นผมเส้นเล็กที่บอบบางไม่ควรทำบ่อย

2.โรลม้วนผมจัมโบ้เพิ่มโวลุม

การใช้โรลม้วนผมจัมโบ้เป็นวิธีดั้งเดิมที่ใช้ได้ผลเสมอมา ก่อนที่ผมจะแห้งสนิทให้ใช้โรลม้วนผมจัมโบ้ม้วนผมไว้ 5-6 โรล แล้วไดร์ผมให้แห้ง เมื่อหวีผมจะเห็นได้ว่าทรงผมคุณดูหนาขึ้น และมีรูปทรงสวย

3.จัดแต่งทรงผมง่ายๆ ด้วยหวีกลม

วิธีนี้เป็นการเลียนแบบช่างทำผมมืออาชีพให้แบ่งผมเป็นปอยบางๆ แล้วม้วนด้วยหวีกลม จากนั้นไดร์ให้แห้งทิ้งหวีคาไว้ แล้วใช้หวีกลมอีกเล่มม้วนปอยผมถัดไป ใช้หวีกลม 3 เล่ม ม้วนสลับกันไปเรื่อย เมื่อปอยผมแรกเย็นลงก็นำหวีกลมมาม้วนปอยผมปอยใหม่ โดยที่หวีอีก 2 เล่ม ยังม้วนค้างอยู่ที่ปอยผม

4.หยิกหวานสวยด้วยลวดม้วนผม

แบ่งปอยผมไม่หนาและไม่บางมาก (ปอยผมยิ่งบางเท่าไหร่ ผมก็จะยิ่งหยิกมากเท่านั้น) แล้วม้วนพันด้วยลวดม้วนผม ถ้าต้องการผมหยิกอ่อนๆ ให้ใช้แปรงหวีถี่หน่อย หรือจะปล่อยให้หยิกมากก็ได้

5.เทคนิคการม้วนผมอย่างรวดเร็ว

หากคุณอยากได้ทรงผมใหม่ที่มีรูปทรงสวยให้คุณทำผมให้ขึ้นแบ่งปอยผมม้วนด้วยสองนิ้ว ติดกิ๊บไว้ให้แน่น แล้วฉีดสเปรย์ ไดร์ผมสักครู่ หลังจากนั้น แกะผมที่ม้วนไว้ออก หวีผมจัดทรงให้ดูงาม

6.การไดร์ผมสั้น

การไดร์ผมสั้นให้มีรูปทรงหนา ไม่ลีบติดหนังศีรษะ ง่ายนิดเดียวเท่านั้น คือ ขณะที่คุณไดร์ผม ให้ใช้ปลายนิ้วมือแทรกวนเข้าไปที่หนังศีรษะ แล้วไดร์จากล่างขึ้นข้างบน จะทำให้โคนผมอยู่ทรง ไม่ลีบติดหนังศีรษะ

ดูแลสิวแบบธรรมชาติ (Lisa)

เพิ่มกระเทียม กระเทียมทำลายแบคทีเรียที่อาจทำให้เกิดสิว และยังเพิ่มภูมิคุ้มกันของผิวหนังอีกด้วย คุณอาจกินกระเทียมสดหรือกินกระเทียมแบบเม็ดก็ได้

อบไอน้ำ วิธีนี้ไม่เหมาะกับคนที่เป็นสิวอักเสบ แต่อาจทำให้สดชื่นและทำให้ผิวสะอาดขึ้นสำหรับผู้ที่เป็นสิวไม่มากนัก ลองใช้ลาเวนเดอร์ร่วมด้วย เพื่อช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและกระตุ้นการเติบโตของเซลล์ผิวหนัง วิธีการคือ ใส่ลาเวนเดอร์แห้ง 2-4 ช้อนโต๊ะ ลงในน้ำประมาณ 2 ลิตร ต้มจนเดือนแล้วเอาหน้าอังไอน้ำที่พวยพุ่งออกมาเป็นเวลา 15 นาที จากนั้นเช็ดใบหน้าด้วยน้ำเย็นแล้วซับให้แห้ง

กินอาหารที่มีกรดออกซาลิก (Oxalic Acid) อาหารอย่างเช่น อัลมอนด์ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ มีกรดออกซาลิกที่ช่วยในการรักษาสิว

ทราบหรือไม่ เรื่องไหนที่ผู้หญิงมักมองข้ามในความสวยความงาม วันนี้เรามีมาฝาก...

- ไม่ใช้ครีมบำรุง ไม่ใช้ครีมกันแดด

ครีมบำรุงและครีมกันแดด คือ การป้องกันและดูแลผิวหน้าในระยะยาวที่ดีที่สุด แม้ว่าครีมที่เลือกใช้จะไม่ได้ผสมสารสกัดราคาแพง แต่การเติมน้ำให้ผิวและตามด้วยป้องกันแสงแดดในทุก ๆ ครั้งที่ออกจากบ้าน จะช่วยยืดอายุผิวได้นาน และยังป้องกันริ้วรอย ฝ้า กระได้ดี

- เกาะตามกระแส

ผลิตภัณฑ์ความงามที่ซื้อตามคำบอกเล่า อาจไม่เหมาะกับเรา อย่างเมคอัพที่สีไม่เข้ากับผิว โลชั่นที่ไม่เหมาะกับสภาพผิว หรือสินค้าที่ราคาแพงเกินจริง แต่สามารถมองหาของดีใกล้เคียงได้ตั้งมากมาย

- ไม่ดูอายุผลิตภัณฑ์

ควรใช้ผลิตภัณฑ์ความงามตามอายุของผลิตภัณฑ์นั้น ๆ สังเกตได้จากฉลากข้างขวดที่จะบอกว่าใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพภายในกี่ปี ซึ่งผลิตภัณฑ์สูตรธรรมชาตินั้นจะอายุสั้นกว่าประมาณ 2-3 ปีตามเงื่อนไขของธรรมชาติ

- ชอบ แต่ไม่ได้ใช้

เผลอซื้อผลิตภัณฑ์ความงามมาสะสมไว้จนใช้แทบไม่ทัน สุดท้ายก็ต้องทิ้งไปเพราะหมดอายุ ครั้งหน้าลองจดลิสต์ของที่ต้องการจริง ๆ ทุกครั้ง จะได้ไม่เผลอไปซื้อให้เสียดายเงิน

- ลืมนึกถึงผลกระทบอื่น ๆ

ข้อนี้สำคัญ เพราะ เป็นการดีจะคิดหน้าคิดหลังก่อนซื้อ เช่น เป็นผลิตภัณฑ์ที่ดูดี น่าใช้ แต่กลับบรรจุในแพคเกจที่ชวนทำลายสิ่งแวดล้อม ไม่สามารถรีไซเคิลได้ แถมยังใส่สารเคมีมากเกินจำเป็น และใช้วัสดุที่ฟุ่มเฟือย

รู้อย่างนี้แล้ว ควรหันมาเอาใส่ใจในเรื่องความงามกันจะดีกว่า.


ขอบคุณภาพประกอบจาก : Getty Images

ใครที่ต้องแต่งหน้าเป็นประจำ วันนี้มีเทคนิคการทารองพื้นให้หน้าดูเนียนใสมาฝาก...

1. หยดรองพื้นที่ปกปิดบางเบา 2-3 หยดลงบนปลายนิ้ว แล้วใช้แปรงชนิดแบน สำหรับทารองพื้นแตะเนื้อครีมเกลี่ยให้ทั่วใบหน้าอย่างเบามือ เริ่มจากบริเวณเเก้มไล่ไปถึงบริเวณไรผม

2. เกลี่ยรองพื้นจากบริเวณกึ่งกลางหน้าผากออกไปด้านข้าง

3. ปัดเเปรงจากสันจมูกออกไปด้านซ้ายเเละขวาทีละด้าน โดยเน้นบริเวณร่องปีกจมูกให้เนียนเป็นพิเศษ

4. เกลี่ยบริเวณคาง โดยเริ่มจากกึ่งกลาง ผ่านบริเวณกรามไล่ไปจนถึงใต้ใบหู

5. ใช้ปลายนิ้วเเตะทั่วใบหน้าเบา ๆ เพื่อให้รองพื้นติดเเน่นกับผิวเเละดูบางเบาเป็นธรรมชาติ

แต่ถ้าอยากให้หน้าดูเนียนใสกว่าเดิม ควรเลือกสีรองพื้นที่ใกล้เคียงกับลำคอที่สุด.
ขอนคุณเนื้อหาดีๆจาก เดลินิวส์

แบบที่ 1 ตาชั้นเดียว หรือตาสองชั้น กระบอกตาลึก ลากเส้นหนาเพื่อเวลาลืมตาก็สามารถมองเห็นเส้นขอบตา

1. วาดเส้นหนาโดยเคลื่อนพู่กันไปตามแนวขอบตาบน ทีละน้อย จากหางตาเข้าไปหากึ่งกลางเปลือกตา และหัวตา เกลี่ยขอบของเส้นให้กลมกลืนพร้อมตวัดปลายหางตาให้เฉียงขึ้นเล็กน้อย โดยใช้ด้านข้าง หรือปลายพู่กัน

2. ใช้พู่กันแต้มอายไลเนอร์อีกเล็กน้อย และวาดเส้นหางตาล่างเข้ามาหนึ่งในสาม แบบเดียวกับที่ทำกับหนึ่งในสามของขอบตาบน

แบบที่ 2 ตาเล็ก วาดเส้นหนาบริเวณหัวตาบน อย่าเชื่อมเส้นหางตาบน และล่างให้บรรจบกัน

1. วาดเส้นหนาโดยเคลื่อนพู่กันไปตามแนวขอบตาบนทีละน้อยจากหางตาเข้าไปหากึ่งกลางเปลือกตา และหัวตา วาดเส้นตรงหัวตาให้หนาเพื่อเวลาคุณลืมตาก็สามารถมองเห็นเส้นขอบตาอย่างชัดเจน เกลี่ยไล้เส้นบริเวณหางตาให้ออกไปด้านนอก

2. ใช้พู่กันแต้มอายไลเนอร์อีกเล็กน้อย และลงสีบริเวณหางตาล่างกับกึ่งกลางขอบตาล่างอย่างเดียวกับที่เขียนขอบตาบน ลากหางตาให้ยาวออกไปอีก แต่อย่าให้บรรจบกับหางตาบน

แบบที่ 3 หางตาตก–ตาเฉียง ลืมตาแล้วกำหนดจุดหางตาก่อนวาดเส้น (แต้ม หรือทำตำแหน่งจุดจบของหางตาเหนือเส้นแนวระนาบที่ลากตรงออกมาจากหัวตา)

1. ลืมตา และแต้ม หรือทำตำแหน่งหางตาบนให้สูงกว่าตำแหน่งหางตาจริงเพื่อจะช่วยทำให้หางตาที่ตกดูเฉียงขึ้น

2. วาดเส้นโดยลากพู่กันทีละน้อยไปตามแนวขอบตาบน จากหางตาเข้าไปหากึ่งกลางดวงตา และหัวตา ค่อยๆ เกลี่ยไล้ปลายหางตาให้เป็นแนวเฉียงขึ้นออกไป (ระวังอย่าลากหางตาให้ยาวเป็นแนวดิ่งลงออกมา)

แบบที่ 4 ตาบวม วาดเส้นเหมือนกำลังวาดวงล้อมรูปดวงตาแล้วไล้เฉดอายแชโดว์สีเข้มทับลงไป1. วาดเส้นหนาโดยเคลื่อนพู่กันไปตามแนวขอบตาบนทีละน้อย จากหางตาเข้าไปหากึ่งกลางเปลือกตา และหัวตา เกลี่ยไล้ขอบเส้นของแนวขอบตาบน กับหางตาออกไปบางๆ ให้กลมกลืนโดยใช้ด้านข้างหรือปลายพู่กัน

2. ไล้เฉดสี Eye Color Quad เป็นแนวกว้างทับลงไปบนเส้นขอบตาบน ใช้ปลายพู่กันแต้มอายไลเนอร์เพิ่ม แล้ววาดตามความยาวของแนวขอบตาล่างแบบเดียวกับขอบตาบน

ตอนนี้หลายคนเริ่มเบื่อสโมกกี้อายแบบเดิมๆ เช่นเดียวกับ อารอน เดอ เมย์ (Aaron De May) เมคอัพอาร์ติสท์มือหนึ่งของลังโคมที่ขอฉีกกรอบสีสันบนเปลือกตามาในรูปแบบใหม่ เน้นโทนสีฟ้าครามและทองเป็นหลัก

เริ่มจากกรีดอายไลเนอร์เนื้อครีมสีดำสนิทให้ชิดโคนขนตาที่สุด จากนั้นใช้ดินสอเขียนขอบตาสีน้ำเงินเข้มเขียนบริเวณเปลือกตาบนและหางตา ก่อนไล้อายแชโดว์เมแทลลิกสีน้ำเงินทับเส้นดินสอสีน้ำเงินให้ดูฟุ้งๆ แล้วเน้นหัวตาและเหนือชั้นพับตาด้วยอายแชโดว์สีทอง

แต่ถ้าอยากให้ใบหน้าดูสว่างสดใส ต้องไล้อายแชโดว์สีทองให้ทั่วเปลือกตาบางๆ แล้วเขียนขอบตาด้วยดินสอสีน้ำเงินเข้ม จากนั้นไล้อายแชโดว์สีครามทับบริเวณชั้นพับตาเบาๆ ก่อนปัดมาสคาร่าสีทองทับ 2-3 ชั้น

เทรนด์สโมกกี้อายแบบใหม่นี้ควรเน้นให้ผิวหน้าสดใส เทคนิคง่ายๆ คือ ใช้แป้งเนื้อทองประกายระยิบระยับไล้บริเวณกรอบหน้าที่จะสัมผัสแสง เช่น สันจมูก โหนกคิ้ว และหน้าผาก แถมเทคนิคแต่งเรียวปากให้ดูเย้ายวนอีกนิดด้วยการใช้นิ้วแต้มลิปสติกสีแดงที่กลางริมฝีปาก แล้วค่อยๆเกลี่ยออกไปทางมุมปาก ก่อนใช้ลิปกลอสสีทองแตะกึ่งกลางริมฝีปากอีกเล็กน้อย

ขอบคุณเนื้อหาดีๆจาก สุดสัปดาห์ค่ะ

Make Up Artist ทั่วโลกต่างยกให้คิ้วเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดบนใบหน้า เพราะเพียงแค่มีเรียวคิ้วที่สวยงาม ก็จะทำให้แต่งหน้าในส่วนอื่นได้อย่างง่ายดาย ก่อนอื่น มาตรวจสอบกันก่อนว่าหน้าของเราเหมาะกับคิ้วแบบไหน?



หน้ารูปไข่

ลักษณะคิ้วโค้งขึ้นเล็กน้อย แต่ต้องไม่โก่งมาก แล้วจึงหักมุม

- หน้าเหลี่ยม

เน้นโค้งหักมุม เพิ่มความเหลี่ยมให้กับด้านบนของหน้า เพื่อให้สมดุลกับกรามทั้งสองข้าง

- หน้ากลม

กันคิ้วให้โก่งและเป็นมุม หลอกตาให้หน้าดูเพรียว และยาวขึ้น



- หน้ายาว

ควรกันคิ้วให้โค้งเล็กน้อย จนเกือบเป็นเส้นตรง เพื่อพรางให้ดูเหมือนใบหน้าสั้นลง

- หน้ารูปหัวใจ

เนื่องจากคางเล็กและแหลม ดังนั้นควรกันคิ้วให้มีความโค้งมนเล็กน้อยเพื่อปรับสมดุลใบหน้า

ส่วนผู้ที่มีคิ้วบาง แหว่ง หนา รกหรือยุ่ง มีวิธีแก้ง่ายๆ โดยการเขียนคิ้วด้วยแปรงหัวตัดจิ้มอายแชโดว์สีน้ำตาลเทา หรือน้ำตาลอมเขียว แต่ไม่ควรใช้น้ำตาลอมแดง เพราะจะดูหลอกตา หรือเพียงใช้มาสคาร่าสำหรับปัดทับคิ้วโดยเฉพาะเพื่อให้คิ้วเรียงตัวกันเป็นระเบียบ อย่างไรก็ตาม เทคนิคการเลือกสีเน้นว่า ควรยึดเอาสีเดียว กับลูกนัยน์ตา ขนตา และสีผมเป็นหลัก

แต่หากวิธีที่แนะมายุ่งยากเกินกว่าจะทำได้ แนะนำให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านคิ้วโดยเฉพาะ อย่าง อนาสตาเซีย ผู้เชี่ยวชาญการจัดแต่งคิ้วให้กับมาดอนน่า เจนนิเฟอร์ โลเปซ หรือชาลิซ เธียรอน โดยแจ้งเกิดในวงการได้เพราะคิดค้นการใช้หลักอัตราส่วนทองคำ (Golden Ratio) ศาสตร์ที่ใช้ความรู้ด้านกายวิภาค วิเคราะห์ลักษณะคิ้ว รวมถึงโครงสร้างกระดูก และกล้ามเนื้อบริเวณรอบคิ้วเพื่อให้สมบูรณ์แบบตามเฉพาะบุคคล

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญ ไม่ว่าเทรนด์แต่งหน้าจะเปลี่ยนไปอย่างไร แต่คิ้วเป็นสิ่งหนึ่งที่ต้องคงความเป็นธรรมชาติไว้ ดังเช่น คติการจัดแต่งคิ้วให้สวยงามของอนาสตาเซีย คือ การดึงเอาความสวยงาม และความโดดเด่นเฉพาะตัวของผู้หญิงแต่ละคนออกมา โดยไม่เปลี่ยนแปลงเรียวคิ้วให้เปลี่ยนไป

ขอบคุณเนื้อหาดีๆจาก teenee.com

ทราบหรือไม่ว่า ความเชื่อกับพฤติกรรมแบบไหนที่ควรทำหรือไม่ควรทำขณะมีประจำเดือน วันนี้มีเรื่องนี้มาฝาก...- ห้ามอาบน้ำเย็นในช่วงที่มีประจำเดือน เป็นความเชื่อตั้งแต่อดีต เมื่อเวลามีประจำเดือน ฮอร์โมนในร่างกายจะมีการแปรปรวน ภูมิคุ้มกันลดลง การอาบน้ำเย็นจะทำให้ร่างกายต้องปรับอุณหภูมิตาม อาจทำให้เกิดการเจ็บป่วยได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วผู้ที่มีประจำเดือนสามารถอาบน้ำเย็นในระดับอุณหภูมิปกติได้

- ห้ามรับประทานน้ำแข็งหรือของเย็น บางคนประจำเดือนมาต้องหลีกเลี่ยงการกินน้ำแข็งหรือของเย็นทุกที เป็นเพราะความเชื่อที่มีมาแต่เดิม แต่ในความเป็นจริง สามารถที่จะรับประทานน้ำแข็งหรือของเย็นได้ตามปกติ แต่ควรรับประทานในปริมาณที่ไม่มากจนเกินไป

- ห้ามออกกำลังกายเวลาขณะมีประจำเดือน เป็นความเชื่อที่ผิด เพราะความจริงแล้วการออกกำลังกายเป็นประจำ ร่างกายจะหลั่งสารเอนดอร์ฟินออกมา สารนี้จะทำให้เกิดความสุข ช่วยผ่อนคลายความเครียด และช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด ดังนั้นการออกกำลังกายจึงเป็นวิธีป้องกันอาการผิดปกติ ที่เกิดขึ้นในระหว่างการมีประจำเดือนได้

- ห้ามมีเพศสัมพันธ์ขณะที่มีประจำเดือน ความเชื่อในเรื่องนี้คงจะไม่ใช่ข้อห้าม แต่ก็ควรจะระมัดระวังในเรื่องความสะอาดให้มากกว่าปกติ เพราะอาจจะทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย ดังนั้นควรที่จะรักษาความสะอาดเป็นพิเศษทั้งผู้หญิงและผู้ชาย

- ห้ามลงเล่นน้ำ เป็นความเชื่อในเรื่องของความสะอาด เพราะในน้ำ อาจจะมีสิ่งสกปรกปนเปื้อนอยู่ อาจทำให้เชื้อโรคเข้าไปในช่องคลอด ทำให้เกิดการอักเสบได้ ดังนั้นถ้าอยากจะลงเล่นน้ำในสระว่ายน้ำก็คงจะต้องเลือกสระว่ายน้ำที่ สะอาด เลือกช่วงเวลาที่ไม่มีคนใช้บริการมากนัก และก็ควรที่จะใช้ผ้าอนามัยแบบสอดก่อนที่จะลงว่ายน้ำ

รู้อย่างนี้แล้ว ก็ลองพิจารณาดูว่าสิ่งไหนควรทำหรือไม่ควรทำขณะมีประจำเดือน.


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

หันไปทางไหนในยามนี้ เจอแต่คนหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยพิษเศรษฐกิจตกสะเก็ด อย่ากระนั้นเลย มาลองหาวิธีชุบชูใจให้อารมณ์ดีทันตาเห็นกันดีกว่า แต่ละวิธีที่จะนำมาบอกต่อกันนี้สรุปมาจากข้อเขียนของคริสตี โล ใน นสพ.เดอะ ซิดนีย์ มอร์นิง เฮอรัลด์ ของออสเตรเลีย ล้วนแล้วแต่เป็นวิธีง่าย ๆ แทบไม่ต้องควักกระเป๋าจ่ายตังค์เพิ่ม หรือจ่ายน้อยมาก

วิธีแรกสุดคือต้องรู้จัก หายใจให้มีความสุข เพราะครูสอนโยคะบอกว่า การหายใจเป็นสะพานเชื่อมโยงระหว่างกายกับจิต ดังนั้น มันจึงสามารถเปลี่ยนอารมณ์ของเราได้ด้วย โดยให้นั่งตัวตรงปล่อยตัวตามสบายค่อยๆ หายใจเข้าออกช้าๆสัก 3 นาที หรือถ้ารู้สึกหนักมากต่อเวลาออกไปก็ได้

ลองเปลี่ยนบรรยากาศในห้อง ก็เป็นการจัดสภาพแวดล้อมที่ช่วยคลายเครียดได้ไม่น้อย นักจิตวิทยาแนะนำว่า การนำแจกันดอกไม้มาตั้งไว้ในห้องก็เป็นไอเดียที่ไม่เลว ในการนำสภาพแวดล้อมภายนอกเข้ามาในห้อง ที่สำคัญต้องเป็นดอกไม้ที่มีสีสันสดใสสักหน่อย อย่างดอกทานตะวันหรือกล้วยไม้กำลังบานนี่ใช่เลย นอกจากนี้ยังอาจเปลี่ยนสีห้องเพราะว่าสีมีอิทธิพลทางจิตวิทยาต่อคนเรา

ตั้งความฝันไว้ แล้วไปให้ถึง สังเกตพวกวัยรุ่นที่ชอบติดรูปดาราคนโปรดในห้อง ก็เพราะยึดดาราเป็นต้นแบบที่จะไปให้ถึง สำหรับคนทำงานแล้วอาจติดรูปภาพสถานที่ที่อยากไปเที่ยวแปะไว้ข้างฝา เพื่อเป็นแรงกระตุ้นว่าสักวันเถอะ จะต้องไปที่นั่นให้ได้ เรื่องของกลิ่นก็มีส่วนช่วย อาจจะ จุดเทียนหอม หรือ น้ำมันหอมระเหย ทำให้ห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นที่น่าอภิรมย์ พลอยให้จิตใจไม่หงุดหงิดง่าย ระหว่างนั้นอาจจะ จิบชา รสที่ชอบไปด้วย แต่เรื่องชามีผู้แนะนำว่าให้เลือกชาคาโมไมล์ และเอิร์ลเกรย์ จะช่วยคลายอารมณ์ได้

สุดท้ายอาจฟังดูแปลกพิสดาร เขาแนะนำให้ ล้างมือ ผู้แนะนำบอกว่า ระหว่างล้างมือด้วยน้ำกับสบู่จะทำให้เราจดจ่อกับสีและกลิ่นของฟองสบู่ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เราค่อยๆเปลี่ยนอารมณ์ให้เย็นลงนั่นเอง.



ขอบคุณเนื้อหาดีๆ teenee

1. มองโลกในแง่ดี และทำทุกสิ่งอย่างเต็มกำลังด้วยรอยยิ้มและความเบิกบาน ทำตัวให้สดชื่นมีชีวิตชีวาและกระตือรือร้นอยู่เสมอ พร้อมที่จะเผชิญกับทุกสถานการณ์ จะช่วยให้คุณสามารถจัดการกับทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามา ได้อย่างอยู่มือ

2. มีศรัทธาในตัวเอง จงเชื่อมั่นในความเก่งของคุณ อยากให้ใคร ๆ เขาชื่นชอบและทึ่งในตัวคุณ คุณก็ต้องมั่นใจตัวเองก่อน

3. ขอท้าคว้าฝัน ไม่มีอะไรที่จะทรงพลังมากเท่ากับความตั้งใจจริงและทุ่มสุดตัว จะเป็นแรง ผลักดันที่จะทำให้คุณสานฝันสู่ความจริงได้

4. ค้นหาบุคคลต้นแบบ
ใครก็ได้ที่คุณชื่นชมเพื่อเป็นมาตรฐานที่ดีในการดำเนินรอยตาม ศึกษาแนวคิด วิธีการทำงาน จุดเด่นในตัวเขา แล้วอาจนำมาปรับใช้ให้เข้ากับชีวิตได้บ้าง

5. เริ่มต้นงานใหม่ทุกวันด้วยรอยยิ้มสดใส คนที่มีรอยยิ้มระบายไว้บนใบหน้า เสมือนประตูที่เปิดกว้าง ให้ใคร ๆ อยากเข้ามาคบหาด้วย การเจรจา ติดต่องานก็มักจะลงเอยด้วยความสำเร็จ

นอกจากนี้ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ยังสร้างความเบิกบานและคลายทุกข์ แถมยังเป็นยาอายุวัฒนะชั้นดีอีกด้วย.

ขอบคุณข้อความดีๆจาก sanook

มีสักกี่คนที่คิดว่าตัวเองขยันขันแข็งตื่นตัวตลอดเวลา ส่วนใหญ่มักรู้สึกว่าตัวเอง... “ขี้เกียจจังแฮะ”...แทบทั้งนั้น อยากแต่จะนั่งเล่นนอนเล่นให้เย็นใจ หรือหาอะไรสนุกๆ ไปวันๆ ยิ่งมีวันหยุดยาวติดกันหลายๆ วัน ขี้เกียจติดพันจนตัวจะเป็นขนอยู่แล้ว!
แต่ความจริงถึงจะขี้เกียจก็ไม่เห็นต้องเครียดเพราะรู้สึกผิด แค่เลือกจับคู่เรื่องงานและการพักผ่อนให้เหมาะสมกับนิสัยตัวเองก็โอเคแล้วละ


แล้วเราขี้เกียจแบบไหนล่ะ?
ลองเลือกดูซิว่าใน 3 ข้อนี้ เราเครียดที่สุดกับข้อไหน จากนั้นเช็กผลว่าอะไรเหมาะกับเรา

ทำไมต้องตื่นเช้าขนาดนี้เนี่ย?ตารางแน่นเอี้ยด ใครจะไปทำทัน!
สั่งอยู่ได้ เจ้านายจอมยุ่ง!


พวกตื่นสาย
ไม่ใช่ว่าจะเอาแต่นอนหรอก แต่ร่างกายคุณไม่ถูกกับการตื่นเช้ามากจริงๆ

พวกไร้ระบบ
คุณไม่ชอบถูกกำหนดล่วงหน้าว่าต้องทำอะไร แต่อยากได้อิสระในการใช้ความคิดมากกว่า

พวกไม่ฟังใคร
คุณต้องการเป็นผู้ตัดสินใจ ไม่ใช่คอยรับคำสั่งที่บางครั้งก็ฟังไม่เข้าท่า


หางาน : ลองเลือกอาชีพที่ไม่จำเป็นต้องเข้าทำงานแต่เช้า เช่น ดีเจรอบบ่าย นักข่าวสายบันเทิง หรืองานอื่นใดที่สอบถามแล้วว่ายืดหยุ่นเรื่องเวลา
หางาน : น่าจะเลือกทำสิ่งที่ขั้นตอนไม่ซับซ้อน และไม่ต้องลงมือหลายเรื่องในคราวเดียว เช่นงานฟรีแลนซ์ที่เริ่มและจบเป็นจ๊อบๆ ไป ไม่ซ้อนกันหลายงาน
หางาน : หลีกเลี่ยงงานออฟฟิศได้ก็จะดี หรือลองเปิดบริษัทเล็กๆ จะได้เป็นเจ้านายตัวเอง เปิดร้านเสื้อผ้า ร้านไอติม อะไรก็ได้ที่ไม่มีเจ้านาย...แต่มีลูกน้องได้นะ

พักผ่อน : นาฬิกาในร่างกายแต่ละคนไม่ตรงกัน ของคุณดูจะเริ่มช้ากว่าคนอื่นเขาหน่อย ดังนั้นช่วงพักผ่อนสนุกสนานจึงเหมาะกับการสังสรรค์ยามค่ำคืน...อย่าให้ดึกนักก็แล้วกัน
พักผ่อน : อย่าวางแผนเที่ยว อย่าเตรียมพร้อมมาก เพราะคุณจะไม่สนุกอย่างที่หวัง สู้คิดแล้วลุยเลยไม่ได้ ตื่นเต้นมีชีวิตชีวาดี...เดินผ่านโรงหนังคราวหน้าก็เลี้ยวเข้าไปซื้อตั๋วได้เลย
พักผ่อน : ขยันหากิจกรรมเก็บไว้ อยากทำอะไรจะได้เช็กข้อมูลได้ทันที แล้วจัดโปรแกรมวันหยุดเช้าจรดเย็นไปชวนเพื่อนๆ มาสนุกร่วมกัน รับรองเพื่อนๆ ติดใจให้คุณเป็นโต้โผอีกแน่

ขี้เกียจก็มีดีนะ!

โดนแม่บ่นเรื่องขี้เกียจอยู่บ่อยๆ แต่จะว่าไป...การทำตัวขี้เกียจก็มีดีเหมือนกันนะเออ...
* มีเวลาให้ได้คิด เพราะการทำตัวว่างๆ ช่วยให้เราได้โฟกัสกับสิ่งที่เราต้องการจริงๆ และเมื่อเราเกิดความคิดที่ชัดเจน ก็ยิ่งเป็นไปได้มากที่จะทำให้สิ่งนั้นเป็นจริงขึ้นมา
* ฝันได้อย่างอิสระ เมื่อเราปล่อยตัวตามสบาย ความคิดฝันก็จะโลดแล่นได้เต็มที่ ทีนี้ก็อาจจะเกิดเป็นความคิดสร้างสรรค์ หรือปิ๊งไอเดียอะไรเก๋ไก๋ที่มีประโยชน์ก็ได้นะ
* ไม่เครียด เพราะเราไม่กดดันตัวเองให้ต้องทำโน่นทำนี่อยู่ตลอดเวลา ก็เลยรู้สึกผ่อนคลาย ซึ่งมีส่วนช่วยให้มีความสุขและมั่นใจในตัวเองได้โดยไม่รู้ตัว


พักผ่อนแล้วเห็นผล! เล่นกับสัตว์เลี้ยงตัวโปรด
หน้าตาน่าเอ็นดูของน้องหมาก็ช่วยให้ยิ้มได้ คลายเครียด

กินๆๆ
ปากเคี้ยวเพลินๆ สมองว่างเลยเกิดสมาธิ ผุดไอเดียเริ่ดๆ ได้นะจะบอกให้ ยิ่งได้ผลคูณสองถ้าเป็นช็อกโกแลต

นอนกลางวัน
นอนนิ่งๆ แล้วงีบเอาแรง เพื่อทำกิจกรรมถัดไปได้อย่างสดชื่น

เรื่องรักแร้ดำนั้นดูจะเป็นปัญหาหนักอกหนักใจสำหรับสาว ๆ ไม่น้อยเลยทีเดียว ไหนจะโฆษณาที่โหมกระหน่ำแนวคิดจิ๊กกูแร้วขาวใสนั้นอินเทรนด์น่ามองสุด ๆ อีกล่ะ ทำให้สาว ๆ หลายคนหันไปพึ่งโรลออนไวท์เทนนิ่งเป็นการยกใหญ่

อันที่จริงแล้วปัญหารักแร้ดำนั้นเกิดมาจากการที่เราใส่เสื้อผ้าที่คับจนเกินไป ทำให้ช่วงรักแร้กับเนื้อเสียดสีกัน หรือ การที่เหงื่อออกมาก การโกนขนรักแร้ หรือแม้แต่การใช้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายที่มีสารเคมี แอลกอฮอร์ หรือน้ำหอมมากเกินไปก็ทำให้รักแร้คล้ำลงได้เช่นกัน

หากสาวไหนอยากมีรักแร้ขาวใสละก็ วันนี้เราขอแนะนำ สูตรรักแร้ขาวแบบบ้าน ๆ มานำเสนอล่ะ โดยใช้น้ำมันมะพร้าว 1 ช้อนโต๊ะน้ำแตงกวาคั้นสด 1 ช้อนชา น้ำมะนาว 1 ช้อนชา ผงขมิ้นครึ่งช้อนชา ซึ่งเมื่อเราอาบน้ำจนสะอาดและเช็ดตัวแห้งดีแล้ว ให้ใช้น้ำมันมะพร้าวทาวงแขนให้ทั่ว จากนั้นนำส่วนผสมที่เหลือคนให้เข้ากัน จากนั้นนำมาทาทิ้งไว้ 20 นาที แล้วจึงล้างออก ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 2 - 3 ครั้งรอยคล้ำก็จะค่อย ๆ จางลงค่ะ

สาว ๆ คนไหนที่อยากมีวงแขนขาวสวยละก็อย่าลืมนำไปทำตามกันนะคะ แต่ว่าก็ต้องดูบริบทรอบ ๆ ด้วยนะคะ เพราะว่าวิธีนี้คงทำให้รักแร้ของคุณขาวได้เท่าที่สีผิวคุณจะเอื้ออำนวย คงไม่สามารถทำรักแร้ขาวเด้งได้แบบในโฆษณาหรอกค่ะ แต่ยังไงก็เป็นวิธีบ้าน ๆ ที่ไม่อันตรายนะคะ

ขอบคุณข้อความดีจาก sanook

โดย GURU

“วัน เดือน ปีเกิด” ถือเป็นกุญแจไขรหัสสำคัญสำหรับการพยากรณ์ทั้งหลาย แต่ “ทายใจไขคำตอบ” คราวนี้ไม่จำเป็นต้องรู้วันที่เกิดและปีที่เกิด ขอแค่รู้เดือนเท่านั้น เราก็สามารถทราบนิสัยคร่าว ๆ โดยประมาณ ของคนคนนั้นได้แล้ว งาน นี้แอบกิ๊กแอบปิ๊งใครอยู่ แอบสืบมาให้ได้ว่าเขาเกิดเดือนอะไร ซึ่งคงไม่ยากเย็นนัก แล้วมาลองดูกันว่า เราจะหาทางพิชิตใจเขาได้อย่างไรกันดีกว่า...

คนที่เกิดเดือนมกราคม

สำหรับคนที่เกิดในเดือนแรกของปี เป็นคนที่มักมองโลกในแง่ดี ไม่ใช่พวกย้ำคิดย้ำทำ เป็นคนขยันทำอะไรจริงจัง ฉลาด เจ้าระเบียบนิดๆ มีความคิดสร้างสรรค์ ขี้หึง มีกรอบในชีวิต เป็นคนอารมณ์อ่อนไหว มีความกระตือรือร้น ไม่ค่อยชอบออกไปไหนมาไหนเท่าไหร่ สามารถอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนได้ทั้งวัน

คนที่เกิดเดือนกุมภาพันธ์

คนที่เกิดในเดือนแห่งความรัก เป็นคนโรแมนติก ชอบเดินทางในความฝัน มีความสุข กับจินตนาการอันสดใส แต่ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองสักเท่าไหร่ รักอิสระเสรีภาพ อ่อนไหวมากๆ โกรธง่ายหายเร็ว ดื้อนิดๆ น่ารัก พูดจาอ่อนหวาน ชอบดูหมอ เชื่อโชคลางอาถรรพณ์ ใช้เงินเก่ง

คนที่เกิดเดือนมีนาคม

เลข 3 เป็นเลขมหาเสน่ห์ เพราะฉะนั้นคนที่เกิดเดือน 3 ย่อมต้องเป็นคนมีเสน่ห์แน่นอน ไปไหนใครๆ ก็รัก ขี้อ้อน ปากร้ายแต่ใจดี ชอบทำตัวมีลับลมคมใน เป็นคนขี้สงสาร เห็นใครเดือดร้อนเป็นอดเข้าไปช่วยเหลือไม่ได้ แต่เป็นพวกเจ็บแล้วจำ บุญคุณต้องทดแทนความแค้นต้องชำระ ชอบท่องเที่ยวเดินทางไกล ขี้หงุดหงิด

คนที่เกิดเดือนเมษายน

คนที่เกิดในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เดือนนี้เป็นจุดเริ่มต้นของหน้าร้อน ทำให้คนที่เกิดเดือนนี้อยู่นิ่งไม่ค่อยเป็น เจ้าอารมณ์ ก้าวร้าวนิดๆ ก็อากาศมันร้อนนี่ ขี้หึงมากๆ แต่เป็นพวกใจอ่อน มีความกระตือรือร้นสูง พูดจาน่าฟัง มนุษยสัมพันธ์ดี เข้ากับคนง่าย มักช่วยเหลือแก้ปัญหาให้ผู้อื่น ได้เป็นอย่างดี กล้าหาญ รักการผจญภัย

คนที่เกิดเดือนพฤษภาคม

คนเกิดเดือน 5 ฉลาดเป็นกรด ใจแข็งมาก มีความตั้งใจสูง หากทำอะไรต้องทำสำเร็จ ชอบตกเป็นเป้าสนใจจากผู้อื่น เก็บอารมณ์เก่ง มีอิทธิพลต่อคนรอบข้างสูง เป็นคนเจ้าระเบียบ มีเซนส์ ชอบเดินทาง อยู่ไม่ติดบ้าน ขยันทำงาน มีความรับผิดชอบ แต่ใช้เงินเก่ง

คนที่เกิดเดือนมิถุนายน

เกิดกลางปีพอดิบพอดี เป็นคนอารมณ์อ่อนไหว ชอบคำพูดหวาน ๆ ไพเราะเสนาะหู มีความเป็นศิลปินสูง อารมณ์วูบไปมาเหมือนใบไม้ไหว เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ชอบขีดเขียน เป็นคนไม่ค่อยตรงเวลา นัดใครมักไปสาย หรือไม่ก็ไปซะเร็วเกิน ไปเรียนก็สายบ่อย ทำงานก็สายเหมือนกัน เสียใจง่าย แถมนานด้วย คารมดี ขี้บ่น เป็นคนสนุกสนาน ร่าเริง มักทำให้คนรอบข้างหัวเราะได้เสมอ หาเพื่อนเก่ง เจ้าแฟชั่น เบื่อง่ายหน่ายเร็ว

คนที่เกิดเดือนกรกฎาคม

คนเกิดเดือนนี้ เป็นคนตรง ไม่ชอบโกหก หยิ่งทะนงในความสามารถของตัวเอง เป็นคน สนุกสนาน โมโหง่าย ขี้หงุดหงิด ฉลาดแกมโกง อารมณ์แปรปรวนง่าย ขี้หึง ชอบอยู่ในโลกของตัวเอง ไม่ค่อยยอมออกมามองโลกอันกว้างใหญ่ ชอบอะไรก็ชอบอยู่แค่นั้น ไม่ค่อยยอมรับสิ่งใหม่ ๆ อยู่กับอะไรเดิม ๆ ได้นาน รักเพื่อน ไว้ใจคนยาก แต่ถ้าไว้ใจแล้วจะยกให้หมดทั้งใจ ทำให้มักต้องเจ็บเพราะเรื่องนี้ ไม่ค่อยขยัน ชอบเที่ยวกลางคืน รักแสงสี

คนที่เกิดเดือนสิงหาคม

สำหรับคนที่เกิดเดือนวันแม่ เป็นคนสุภาพ แต่ว่าขี้งกมากๆ เก็บเงินเก่งสุดๆ ปากไม่ค่อยดีนัก กล้าหาญ เด็ดเดี่ยว มีความเป็นผู้นำ สามารถเสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อคนที่รักได้ มีความมุ่งมั่นแรงกล้าหากโดนดูถูก อ่อนไหว โรแมนติก ไม่ค่อยมีโชคเรื่องความรักนัก ชอบพบเจอเพื่อนใหม่ๆ ขี้เซา

คนที่เกิดเดือนกันยายน

เป็นคนดูเงียบๆ แต่จริงๆ คุยเก่ง ชอบวิพากษ์วิจารณ์ ไม่ว่าจะเรื่องชาวบ้าน เรื่องการเมือง กีฬา ได้หมด เป็นคนวางแผนชีวิต ใจเย็น แถมใจดีด้วย ชอบเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ผู้อื่น รอบรู้ไปหมดซะทุกเรื่อง ซื่อสัตย์ ขยัน ความจำเป็นเลิศ ชอบเรียนรู้ สิ่งใหม่ๆ ให้ชีวิต เก็บความลับเก่ง ชอบเล่นกีฬายามว่าง ชอบการเดินทาง ช่างเลือกเรื่องความรัก

คนที่เกิดเดือนตุลาคม

เป็นคนรักความก้าวหน้า ชอบเมาท์กับเพื่อนฝูงมีเสน่ห์น่าหลงใหล อ่อนหวานน่าทะนุถนอม มักเป็นคนรูปร่างหน้าตาดี ไม่ชอบโกหก เพื่อนสำคัญที่สุด เสียใจกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่ว่าหายเร็วเหลือเชื่อ เป็นคนอารมณ์ร้ายราวกับตัวอิจฉาในละคร น้ำเน่า ใช้เงินเป็น ไอเดียบรรเจิด ชอบงานศิลปะ รักการอ่านการขีดเขียน โรแมนติก และขี้หึงทีเดียว

คนที่เกิดเดือนพฤศจิกายน

เป็นพวกล้านโปรเจคท์ มีเรื่องให้คิดวุ่นวายเต็มหัวสมองไปหมด แต่มองการณ์ไกลกว่าชาวบ้านเขา มีความคิดแปลกๆ ไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่อง มีชีวิตชีวาเสมอ ชอบล้วงความลับของชาวบ้าน แต่เก็บความลับอยู่นะ มนุษยสัมพันธ์ เป็นเลิศ ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ รักเดียวใจเดียว แต่เป็นคนอารมณ์เปลี่ยนแปลงเร็ว

คนที่เกิดเดือนธันวาคม

เกิดเดือนสุดท้ายของปี เป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง ชอบมีอิทธิพลเหนือผู้อื่น ทะเยอทะยาน ชอบการเข้าสังคม หาเงินเก่ง มักไม่ค่อยพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ ความปรารถนาสูงขึ้นเรื่อย ๆ ชอบให้ผู้อื่นสนใจ รักการเอาชนะ เกลียดความพ่ายแพ้ที่สุด ไม่ค่อยแต่งตัว แต่ถ้าชอบแต่งตัวก็เป็นพวกผู้นำแฟชั่นไปเลย ดูแลคนเก่ง มีความเป็นผู้นำสูง


ขอขอบคุณข้อมูลจาก GURU

อ่อนเพลียเนื่องจากนอนไม่หลับในตอนกลางคืน และตื่นขึ้นด้วยอาการอิดโรยในตอนเช้า ต่อไปนี้คือวิธีง่าย ๆ ที่ช่วยกำจัดความทุกข์ตอนนอนให้หายไป แล้วคืนนี้จะได้นอนหลับสบาย

1.งดเครื่องดื่มกาแฟเป็นที่ทราบกันว่าคาเฟอีนมีสารกระตุ้นที่ทำให้นอนไม่หลับแต่รู้ไหมว่าสารดังกล่าวยังตกค้างอยู่ในร่างกายอีกด้วย? ดังนั้นทางที่ดี คือ กำจัดมันออกไปจากอาหารที่คุณกินหรืองดดื่มคาเฟอีนตั้งแต่มื้อเที่ยงเป็นต้นไป อย่าลืมคาเฟอีนที่ซ่อนอยู่ในน้ำอัดลม และของว่างต่าง ๆ เช่น โค้ก ช็อกโกแลตเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้นอนไม่หลับ อ่านฉลากข้างกระป๋อง และข้างถุงผลิตภัณฑ์ให้ละเอียด ดื่มชาสมุนไพร เช่น ชาคาโมมาย์ล หรือชาดอกมะนาว ที่ช่วยให้จิตใจผ่อนคลายแทนชาหรือกาแฟ เนื่องจากในชาทั้งสองชนิดนี้มีสารที่ช่วยให้จิตใจสงบเยือกเย็น และปลอดคาเฟอีน

2.อาบน้ำก่อนนอนการแช่ตัวในน้ำอุ่นก่อนนอน จะช่วยให้จิตใจผ่อนคลายจากความเครียดทั้งปวง แต่อย่าแช่น้ำนานเกินไป เพราะแทนที่จะหายเครียดกลับเครียดหนักขึ้น เนื่องจากการแช่ตัวในน้ำร้อนนานเกิน จะทำให้ผิวสูบเสียความชุ่มชื่น ดูไม่มีชีวิตชีวา เพื่อช่วยให้หลับสบาย อย่าลืมหยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นลาเวนเดอร์ 2-3 หยด ลงในน้ำที่อาบ หรือจะใช้น้ำนมอาบน้ำ

3.จัดห้องให้น่านอนแปลงโฉมห้องนอนให้เป็นที่ที่คุณอยากใช้เวลาอยู่นาน ๆ จัดข้าวของที่ระเกะระกะให้เข้าที่ ทำห้องให้มีกลิ่นหอมด้วยการวางถุงกลิ่นลาเวนเดอร์ และแจกันดอกไม้สด จัดห้องนอนให้มีแสงสลัว ๆ โปร่ง และอากาศถ่ายเทได้ดี หาอะไรปิดส่วนที่เรืองแสงของนาฬิกาปลุก ซึ่งนอกจากจะให้แสงสว่างเป็นพิเศษแล้ว ยังทำให้เราหันความสนใจไปที่นาฬิกาตลอดทั้งคืนตั้งเครื่องปรับอากาศที่อุณหภูมิพอเหมาะ ประมาณ 25 องศาเซลเซียส ซึ่งทำให้ห้องเย็นสบายกำลังดี

4.สมุนไพรพึ่งได้มีสมุนไพรหลายตัว โดยเฉพาะสมุนไพรจีนช่วยคลายเครียดทำให้นอนหลับได้ดี เช่น ถั่งเฉ้า มีลักษณะเป็นแท่งยาว ๆ มีสีเหลืองเป็นมันเงา ประกอบด้วยวิตามินบี 12 โปรตีน กรดไขมัน ทั้งอิ่มตัว และไม่อิ่มตัว มีสรรพคุณช่วยระงับประสาท ทำให้นอนหลับสนิท พุทราจีน เป็นผลไม้บำรุงสุขภาพที่ดีของคนจีน สามารถกินได้ทั้งสดและแห้ง แก้อาการนอนไม่หลับ เนื้อในเมล็ดช่วยผ่อนคลายประสาท ทำให้นอนหลับสบาย โสม จัดเป็นสมุนไพรจีนที่ใช้รักษาโรคมากกว่า 2,000 ปี สารไบโอแอคทีฟ (bioactive) ในโสมช่วยแก้โรคนอนไม่หลับ และรักษาโรคความจำเสื่อม ลดความเครียดดอกไม้จีนหรือจำฉ่ายเป็นพืชล้มลุกตระกูลเดียวกับลิลลี่ เกสรดอกไม้จีนมีสรรพคุณช่วยบำรุงประสาท ช่วยให้ผ่อนคลาย ทำให้สดชื่น และมีฤทธิ์เป็นยานอนหลับอ่อน ๆ จึงช่วยให้หลับสบาย

5.ยืดเส้นยืดสายคนที่เคลื่อนไหวร่างกายขณะทำงานในระหว่างวัน จะมีปัญหาในการนอนน้อยกว่าคนที่นั่งปักหลักอยู่กับโต๊ะทำงาน การออกกำลังกายแค่วันละ 15 นาที จะช่วยให้ร่างกายได้รับออกซิเจน ทำให้ผ่อนคลาย และนอนหลับง่ายขึ้น ระหว่างวันควรออกไปเดินเล่นในสวน หรือเดินยืดเส้นยืดสายหลังอาหารเย็น หลังเดินออกกำลังแล้ว ให้พักประมาณครึ่งชั่วโมง จึงค่อยเข้านอนทั้งนี้เพื่อให้อัตราการเต้นหัวใจและร่างกายทำงานช้าลงก่อนถึงจะสามารถเข้านอนได้

6.กินอย่างถูกต้องการเข้านอนขณะท้องหิว หรืออิ่มแปล้จะไปรบกวนการนอนซึ่งรวมถึงการกินอาหารก่อนนอนด้วย ไม่ควรกินอาหารเย็นหลัง 2 ทุ่ม และถ้าเป็นไปได้ควรหลีกเหลี่ยงโปรตีนจากเนื้อสัตว์ เพราะจะเป็นเหมือนยาชูกำลังที่ไปกระตุ้นการทำงานของฮอร์โมน ที่ทำให้ร่างกายเกิดความคึกคัก กินอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตจำพวกแป้ง อาหารเย็นควรเป็นข้าว มันฝรั่ง พาสต้า ผัก ที่มีรากเป็นลำต้นใต้ดิน ถั่วต่าง ๆ อาหารเหล่านี้ทำให้ร่างกายผลิตเซโรโตนิน ที่ช่วยในการนอนหลับ

7.เอนตัวลง และทำจิตใจให้ผ่อนคลาย เปิดเพลงทำนองเบาๆ ฟังสบายๆ ขณะนอน หรือจะเปิดเทปบันทึกเสียงธรรมชาติที่ให้ความรู้สึกสงบ เยือกเย็น เช่น เสียงคลื่นซัดเข้าหาฝั่ง ปิดไฟในห้องนอน นอนซุกตัวใต้ผ้าห่ม ปล่อยให้เสียงนั้นขับกล่อมคุณ จากนั้นหายใจลึกๆ ช้าๆ เพ่งสมาธิไปที่แขนขาแต่ละข้างโดยเริ่มจากที่เท้า จินตนาการว่าแขนขานั้นจมหายลงไปในเตียง ควรใช้เครื่องเล่นเทป หรือซีดีที่ปิดเองอัตโนมัติ เพราะจะได้ไม่ต้องลุกขึ้นมาปิดเวลาเคลิ้มๆใกล้จะหลับ

8.ลุกขึ้นเดิน หากตื่นขึ้นกลางดึก และไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้ภายใน 30 นาที จงลุกขึ้น อย่านอนกระสับกระส่ายพลิกตัวไปมา รอเวลาจนเสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น เพราะนั่นจะทำให้รู้สึกหงุดหงิด อย่าเปิดทีวี อ่านหนังสือ หรือนั่งบนเตียงคิดเรื่องที่ยังติดค้างอยู่ในสมอง แม้นั่นจะเป็นวิธีฆ่าเวลายามนอนไม่หลับแต่ไม่ควรทำ คุณจำเป็นต้องฝึกให้ร่างกายรับรู้ว่าเตียงนอนใช้เป็นที่สำหรับนอน แม้ว่าสิ่งที่คุณทำบนเตียงจะเป็นกิจกรรมสบายๆ ประเภทดูหรือฟังก็ตาม เพราะนั่นสามารถเข้าไปกระตุ้น หรือรบกวนจิตใจได้ หากตื่นขึ้นกลางดึก ให้ลุกจากเตียงไปเอนหลังบนโซฟา หรือเก้าอี้ตัวโปรดที่นั่งสบายๆ หลับตาลงทำจิตใจให้สบายจนรู้สึกง่วงแล้วจึงค่อยลับไปนอนที่เตียง

9.มหัศจรรย์แห่งนม ตอนเด็กๆ แม่จะให้เราดื่มนมอุ่นๆ ก่อนนอน เพราะในนมมีกรดอะมิโนที่เรียกว่า ทรัยป์โตฟาน ช่วยให้นอนหลับสบาย และยังมีแคลเซียมสูง ช่วยผ่อนคลายประสาท ทำให้จิตใจสบาย บางคนบอกว่าการดื่มนมอุ่นๆ ช่วยคลายเครียด และหายอ่อนเพลีย จากการศึกษาวิจัยพบว่า เมลาโทนิน (melatonin) ช่วยให้นอนหลับ โดยเฉพาะนมที่รีดจากแม่วัวตอนเช้ามืดเพราะเป็นช่วงเวลาที่นมวัวมีเมลาโทนินสูงสุด

แต่ละวันในออฟฟิศก็ยุ่งพออยู่แล้ว อย่าทำให้ชีวิตเรายุ่งยากไปด้วยอีกเลย นี่คือวิธีดูแลตัวเองง่ายๆ ที่ทำให้เป็นคนลัลล้าได้ ตั้งแต่จันทร์ถึงศุกร์ ไม่เจ็บไม่ไข้ และใจเป็นสุข



1. เช็ดโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานอาทิตย์ละ 1 ครั้ง
อาการสิวขึ้นเป็นแถบที่ข้างแก้ม นั้นคือสิวที่เกิดจากโทรศัพท์ที่เราพูดลงไปทุกวัน ทั้งฝุ่น ทั้งน้ำลาย แต่ไม่ต้องห่วง สำลีชุบแอลกอฮอล์ช่วยคุณได้



2. ช้อนส้อม 1 ถ้วยกาแฟ 1 ฟองน้ำล้างจาน 1 ต้องมี!
ไม่ใช่ว่ารังเกียจ ไม่ได้ทำตัวเป็นคุณหนู แต่มีไว้ใช้เป็นของส่วนตัวสบายใจ สบายตัวที่สุด เพราะคุณจะรู้หรือว่า ใครไม่สบายเป็นอะไรกันบ้าง แล้วคุณรู้มั้ยว่าฟองน้ำล้างจาน ตรงมุมกาแฟนั้น แม่บ้านเปลี่ยนครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่



3. อย่าเด็ดขาด! อย่าใส่ชุดสีดำทึม เทาในวันที่ซึมเศร้า
เบื่อหน่าย ไปทำงาน เพราะจะทำให้คุณรู้สึกแย่ไปกว่าเดิม



4. ดื่มน้ำให้ได้วันละ 8-10 แก้ว
เชื่อหรือไม่? ว่าอากาศในออฟฟิศที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำนั้น แห้งได้พอๆ กับทุ่งนากลางแจ้งผิวคุณก็จะขาดความชุ่มชื่นไปได้อย่างไม่รู้ตัว



5. ยิ้มทุกครั้งเวลาที่รับโทรศัพท์
จะช่วยให้เสียงสวยจนปลายสายอยากเห็นหน้า



6. ตั้งกระจกไว้ที่โต๊ะทำงาน
ช่วยแก้ฮวงจุ้ยได้บ้าง แต่งงานหลักเอาไว้ให้เราได้ฝึกยิ้มอยู่เสมอ ยิ้มบ่อยๆ จะเครียดน้อยลง ใจจะสบายขึ้น



7. โหลดวอลล์เปเปอร์เป็นรูปขำๆ

หรือวิวสวยๆ ไว้ที่หน้าจอ พักสายตาได้ดี



8. วางแฮนด์ครีมกลิ่นหอมๆ ถูกใจที่สุด ไว้ไกล้ๆ มือ
หาบ่อยๆ กลิ่นหอมจะช่วยผ่อนคลายได้ แถมมือยังนุ่มตามมา



9. เลือกเพลงแจ๊สเบาๆ
หรือเป็นเพลงแบบมิวสิค บ็อกซ์ ใสๆ ฟังได้สบายๆ หรือจะเป็นเพลงคลาสสิกก็ดี คลื่นสมองเราจะทำงานได้สงบดีขึ้น แล้วจะเลือกแผ่นไหนดี ให้เลือกเพลงที่ฟังได้เพลินๆ ทำงานไปได้เรื่อย โดยที่ไม่รู้สึกว่าเสียสมาธินั่นละ



10. One free Day แค่อาทิตย์ละวัน... วันไหนที่ไม่ต้องมีนัดกับใคร ไม่ต้องไปประชุมกับลูกค้า ยกเว้นนั้นให้ตัวเองได้ แต่งตัวสบายๆ หยุดพยายามสวยกันสักหนึ่งวัน



11. ขยับตัว ยืดหลัง 2 ครั้ง ต่อวัน... เป็นอย่างน้อย

ท่าที่ 1
* นั่งหลังชิดติดพนักเก้าอี้ เข่าชิดติดกัน ขาตึง หน้ามองตรงไปข้างหน้า
* ค่อยๆ ยืดแขนทั้งสองข้างขึ้น เหนือศรีษะ โดยให้มือประสานกัน แล้วยืดแขนและยืดตัวขึ้น จะรู้สึกแขนและหลังตึง
* ค่อย ๆ ลดระดับแขนลงมาตรงหน้า ใต้ท้องแขน ไหล่ และหลังช่วงบนจะตึง

ท่าที่ 2
* นั่งหลังชิดติดพนักเก้าอี้ที่ทำงาน ตัวตรง
* ค่อยๆ ก้มตัวลง โดยปล่อยแขนและขาทั้งสองข้างลงไปจับที่ตาตุ่มได้ หรือก้มให้ได้มากที่สุด จะรู้สึกว่าแผ่นหลังตึง
* ค่อย ๆ ดึงตัวขึ้นมา กลับมาที่เดิม อย่าลืมค่อยๆ ขึ้นมา ไม่อย่างนั้นอาจจะหน้ามืดได้



12.วางคริสตัลหรือแท่งแก้ว หินสีไว้ที่โต๊ะทำงาน
ศาสตร์ทางฮวงจุ้ยบอกว่าจะช่วยดูดพลังร้ายๆ ไป ศาสตร์เรื่องหินจะบอกว่า จะช่วยดูดซับพลังความร้อนจากคอมพิวเตอร์ได้



13. มีรองเท้าแตะไว้ที่ใต้โต๊ะ
ไว้เปลี่ยนตอนเมื่อยๆ จากรองเท้าส้นสูง



14. ซ่อนเก้าอี้ซักผ้าตัวเล็กๆ ไว้ใต้โต๊ะ
ไว้พักขา ยืดขาตอนเมื่อยๆ



15. เคลียร์โต๊ะทุกอาทิตย์ เคลียร์เอกสาร ทุก 2 อาทิตย์
เรามักจะใช้เวลา 1 ใน 3 ของวันในการหาของ หรือเอกสารที่ต้องการใช้ ถ้าเรามีโต๊ะที่ยุ่งเหยิง หาอะไรไม่เคยเจอ ยิ่งหายิ่งเครียด หงุดหงิด ทำงานไม่ได้ดี หมอดูเห็นก็จะทำนายว่าชีวิตการงานจะยุ่งเหยิง ...(แม่นแน่ๆ)



16. ปัดฝุ่นบนคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์

คอมพิวเตอร์ก็ผลิตฝุ่นได้ และมากอย่างที่เรานึกไม่ถึงด้วย วันละนิด วันละนิด



17. ลบเมล์ Delete ไฟล์ที่ไม่ใช้ใน Inbox ออกจากคอมพิวเตอร์บ้าง
การทำงานจะง่ายขึ้น หาอะไรก็เจอ ความเครียดก็จะลดลง คล่องตัวขึ้น คอมพิวเตอร์ ก็เร็วขึ้นด้วย



18. Emergency Kitเพื่อความไม่ประมาท ควรมี 4 สิ่งนี้ติดลิ้นชักไว้เสมอ
* ผ้าอนามัย แค่สักชิ้นก็พอ เผื่อฉุกเฉิน
* แปรงสีฟัน+ยาสีฟัน+ควรใช้หลังอาหารเที่ยง หรือก่อนไปพบลูกค้า
* โรลออน หรือสเปรย์ระงับกลิ่นกายแบบแห้งเร็ว สำหรับวันไหนที่ร้อน และเหงื่อออกมากกว่าปกติ
* สเปรย์ระงับกลิ่นเท้า ปกติอาจจะไม่มี แต่ถ้าวันนั้นเดินมาก และเจอรองเท้าคู่อับ ก็มีสิทธิ์ได้ออกมาใช้เหมือนกัน



19. ใช้อุปกรณ์แฮนด์ฟรีหรือเฮดเซ็ท สำหรับคนที่ต้องคุยโทรศัพท์ทั้งวัน
เพราะถ้าคุณเอียงคอ หนีบโทรศัพท์เรื่อยๆ มีโอกาสหมอนรองกระดูกอาจจะเสื่อม



20. รักงาน รักเพื่อน ร่วมงาน ทัศนคติที่ดีกับการทำงานจะช่วยให้คุณทำงานได้ดีขึ้น เหนื่อยน้อยกว่าที่ควรจะเป็นปัญหาทุกอย่างจะมีทางออกอยู่เสมอง เมื่อรู้สึกดีๆ กับงานที่ทำ กับคนที่ทำงานด้วยกัน ชีวิตจะเป็นสุข